การปฏิวัติภายใต้การนำของเหล่า " คณะราษฎร " ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. เป็นการยึดอำนาจการปกครองประเทศจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบต่อไป
เราคงเคยได้ยินคำว่า ปฏิวัติ กบฏ และรัฐประหารมาบ้างเเล้ว หลายคนไม่รู้ว่าคำ 3 คำนี้แตกต่างกันอย่างไร ก่อนอื่นจึงต้องให้ความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้กันก่อน
เริ่มจาก คำว่า ปฏิวัติ (อังกฤษ: revolution) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากระบบเดิม ยกเลิกระบบเดิม ใช้ระบบใหม่ เป็นการอธิบายว่ามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในทางการเมือง การปฏิวัติ คือ การยึดอำนาจจากผู้ปกครองเดิม แล้วทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แตกต่างจากการก่อรัฐประหาร ที่หมายถึงการล้มล้างรัฐบาลที่บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น แต่มิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองหรือรัฐทั้งรัฐเสมอไป นั้นจึงเป็นเพียงการยึดอำนาจปกครอง แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง และรูปแบบสุดท้ายนั้นก็คือ การกระทำที่มีเจตนาเช่นเดียวกับการรัฐประหารและปฏิวัติเพียงแต่กระทำการไม่สำเร็จ บทลงโทษสำหรับผู้แพ้นั้นก็คือ การถูกบันทึกว่าเป็น "กบฏ" สถานเดียว จึงจะเห็นได้ว่า แม้รูปแบบในการเข้ายึดอำนาจจะเป็นการเข้ามาไม่แตกต่างกันนัก แต่การที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของปฏิบัติการนั้นเอง
ในอดีตก่อนที่จะมีการ "การปฏิวัติสยาม" ก็ได้มีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาก่อนหน้านี้เช่นกัน ย้อนไป 24 (พ.ศ. 2455) ปีก่อนการการปฏิวัติสยาม ได้เกิด กบฏ ร.ศ. 130 ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ครั้งนั้น
นายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่แผนการแตกเสียก่อน ผู้ก่อการในครั้งนั้นได้รับโทษประหารชีวิตเเละขังคุกกันตามสภาพความผิด แต่ด้วยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย มีพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ ละเว้นโทษประหารชีวิต ด้วยทรงเห็นว่า ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์ ทุกนจึงได้รับการลดหย่อนโทษตามสมควร
กลับมาที่ "การปฏิวัติสยาม" ซึ่งคณะ" คณะราษฎร " ได้ให้เหตุผลในการก่อเหตุครั้งนั้นว่าสืบเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ ทั้งความเสื่อมโทรมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความไม่พอใจที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มักเอาแต่ทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ดังที่ระยาทรงสุรเดชเองเคยพูดว่า "พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แทบทั้งหมด มุ่งแต่เพียงทำตัวให้โปรดปรานไว้เนื้อเชื่อใจจากพระเจ้าแผ่นดินไม่ว่าด้วยวิธีใด ตลอดทั้งวิธีที่ต้องสละเกียรติยศด้วย..." อีกทั้งตอนนั้นทั่วโลกก็มีกระแสการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เกิดขึ้น เช่น รัสเซีย จีน หรือเยอรมนี การได้รับอิทธิพลทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประเทศตะวันตก ในเหล่านักศึกษาไทยที่ไปศึกษายังต่างประแดน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการใช้จ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ความแตกต่างทางฐานะด้านสังคมที่ไม่ยุติธรรมระหว่างข้าราชการที่เป็นเจ้าและที่เป็นสามัญชน
" คณะราษฎร " ที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยในครั้งนั้น เป็นกลุ่มบุคคล 2 กลุ่ม คือกลุ่มนักเรียนไทยในต่างประเทศ และกลุ่มนายทหารทั้งทหารบกรวมทั้งทหารเรือในประเทศไทย จำนวน 115 คน นำโดย พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พลเรือเอก หลวงสินธุสงครามชัย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) และหากจะพิจารณาดูแล้วก็จะพบว่าบุคคลทั้ง 2 กลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลระดับปัญญาชนที่มีสติปัญญาการศึกษาสูง ที่ต่างมีพื้นฐานบางประการเหมือนกันนั้นก็คือ ได้รับอิทธิพลของรูปแบบการปกครองจากประเทศทางตะวันตเมื่อครั้งที่ไปทำการศึกษา
พ.ศ. 2469 ณ หอพัก Rue de summerard กรุงปารีส 7 ปีก่อนทำการปฏิวัติ
ในครั้งนั้นผู้ดูเเลนักเรียนไทยซึ่งเป็นพระราชวงศ์องค์หนึ่งได้แจ้งกลับมายังเมืองไทยว่า มีนักเรียนไทยที่มีแนวคิดเป็นพวกหัวรุนเเรง จะเป็นภัยต่อประเทศจึงเห็นว่าควรให้บางคนกลับประเทศไทยเสีย ทางด้านนักเรียนไทยเองก็มีความไม่พอใจในสถาณการณ์บ้านเมืองอยู่เเล้ว การรวมกลุ่มเพื่อผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงได้ขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มาตั้งแต่ พ.ศ. 2469
คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ประชุมกันเป็นครั้งแรกที่หอพัก Rue Du Somerard กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ผู้เข้าร่วมประชุมมี 7 คน ประกอบไปด้วย ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี (นายทหารกองหนุน อดีตผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์รัชกาลที่ 6) ร.ท. แปลก ขีตตะสังคะ (หลวงพิบูลสงคราม กำลังศึกษาวิชาทหารปืนใหญ่ในโรงเรียนนายทหาร) ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี (ศึกษาวิชาการทหารม้าในโรงเรียนนายทหารของฝรั่งเศส) นายตั้ว ลพานุกรม (นักศึกษาวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกในสวิตเซอร์แลนด์) หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี ผู้ช่วยเลขานุการทูตสยามประจำกรุงปารีส) นายแนบ พหลโยธิน (เนติบัณฑิตอังกฤษ) และนายปรีดี พนมยงค์ (ดุษฎีบัณฑิตกฎหมายฝ่ายนิติศาสตร์ ฝรั่งเศส) ภายหลังการประชุมที่ยืดเยื้อถึง 5 วัน ก็ได้มีมติให้นายปรีดี เป็นประธาน และหัวหน้าคณะราษฎร จนกว่าจะมีบุคคลที่เหมาะสม โดยตกลงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากรูปแบบกษัตริย์เหนือกฏหมายมาเป็นการปกครองที่มีกษัตริย์ใต้กฏหมาย โดยใช้วิธีการ "ยึดอำนาจโดยฉับพลัน" " และจากประสบการณ์ของ กบฎ ร.ศ.130 ทำให้คณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครองในครั้งนี้ได้ทำการวางแผนการด้วยความรัดกุมอย่างยิ่ง
24 มิถุนายน 2475
ก่อนการปฏิวัติ"คณะราษฎร"ได้มีการประชุมเพื่อวางแผนกันหลายครั้ง หากว่ามีความเสี่ยงสูงก็ต้องยอมยกเลิกแผนการนั้นไปก่อน จนกระทั่งถึงครั้งที่เห็นชอบกันว่ามีความพร้อมมากที่สุด นั้นคือ จะทำการปฏิวัติในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะในวันนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานประทับที่พระราชวังไกลกังวล จึงทำให้ในกรุงเทพฯ เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
การปฏิวัติครั้งสำคัญครั้งนี้ ได้ทำการประชุมวางแผนกัน ณ บ้านของ ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่12 มิถุนายน 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่มออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ
หน่วยที่ 1 เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เวลา 06.00 น.ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์ โทรเลข รวมทั้งคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดสามารถแล่นเข้ามาได้
หน่วยที่ 2 เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น. ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากวังสวนผักกาดมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระประยุทธอริยั่น จากกรมทหารบางซื่อ รวมทั้งวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาตั้งเตรียมพร้อมไว้ โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์
หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที
สุดท้าย หน่วยที่ 4 อันถือว่าเป็น " มันสมอง " โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งเตรียมการเจรจากับต่างประเทศหลังการปฏิบัติการสำเร็จ
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร โดยพระยาทรงสุรเดช อาศัยความเป็นอาจารย์ใหญ่ที่สอนนักเรียนที่โรงเรียนนายร้อย ใช้กลลวงนำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเพื่อฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถัง จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง
แผนการในครั้งนี้สำเร็จลง เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ด้วยการวางแผนที่แยบยล ตั้งแต่การจับตัวประกัน การตัดการสื่อสาร และที่สำคัญการลวงทหาร ดังที่พระยาทรงสุรเดชได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้ชัดเจนว่า "เป็นเพราะนายทหาร นายสิบ พลทหารเหล่านั้นเห็นด้วยในการปฏิวัติหรือ...เปล่าเลย ทั้งนายทหาร นายสิบ พลทหาร ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีใครเคยได้เห็นได้รู้ การปฏิวัติทำอย่างไร เพื่ออะไร มีแต่ความงงงวยเต็มไปด้วยความไม่รู้ และข้อนี้เองเป็นเหตุสำคัญแห่งความสำเร็จ ! สำหรับพลทหารทั้งหมดไม่ต้องสงสัยเลย เขาทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เขาถูกฝึกมาเช่นนั้น และหากนายทหารอื่นมาสั่งให้ทำโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทำไมเขาจะไม่ทำ เพราะในชีวิตเป็นทหารของเขา เขายังไม่เคยถูกเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะรู้ไม่ได้เลยว่าเป็นการลวง ในเมื่อเขาโดนเป็นครั้งแรก ...นายทหารทั้งหมดส่วนมากได้เรียนในโรงเรียนนายร้อยในสมัยที่ผู้อำนวยการฝ่ายทหารเป็นอาจารย์ใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงมีความเคารพและเกรงในฐานผู้ใหญ่"
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ และบ้านเมืองต้องได้รับความเสียหาย อีกทั้งพระองค์เองก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎรที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
หลังยึดอำนาจสำเร็จ วันที่ 26 มิถุนายน 2475 ผู้แทนคณะราษฏรได้เดินทางเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ วังศุโขทัย นำเอกสารสำคัญขึ้นทูลเกล้าเพื่อลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงพระปรมาภิไธยในธรรมนูญการปกครองประเทศ โดยทรงเพิ่มคำว่า "ชั่วคราว" ต่อท้ายธรรมนูญการปกครองฯ ในวันที่ 27 มิถุนายน
สภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกตามธรรมนูญการปกครองฯ มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี คนแรกของประเทศไทยและมีนายปรีดี เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของสภาผู้แทนราษฎร และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ภายใต้การนำของคณะราษฎร เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยซึ่งเดิมเป็นของกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ให้มาเป็นของประชาชน และยกกษัตริย์ขึ้นเป็นประมุขของประเทศ โดยไม่มี พระราชอำนาจในทางการบริหารบ้านเมืองอย่างแท้จริง หากเป็นสัญลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ การกระทำของกษัตริย์ในทางการเมืองต้องมีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการเสมอ นั่นคือ ผู้ลงนามสนองฯเป็นผู้กระทำและรับผิดชอบ ส่วนการกระทำของกษัตริย์เป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น และมีหลัก 6 ประการเป็นเป้าหมาย อันประกอบด้วย เอกราช, ความปลอดภัย, ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ, ความเสมอภาค, เสรีภาพ และการศึกษา
หลักฐานแห่งประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้ถูกถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันบนลานบนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่าเป็น สมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน เขียนไว้ว่า “ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ”
ภายหลังการปฏิวัติที่สำเร็จลง ก็ใช่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะสงบลงเอยด้วยดี ยังการต่อสู้ทางการเมืองของผู้มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันทั้ง ผู้นำในระบบเก่าที่ยึดมั่นในทาง(สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กับระบอบใหม่ (ประชาธิปไตย) รวมทั้งในกลุ่มคณะราษฎรเองก็มีความขัดแย้งกันในภายหลังอย่างรุ่นเเรงเช่นกัน
สิ่งที่เราได้จากวันที่ 24 มิถุนา 2475 คือ การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ แต่ประชาธิปไตยจะก้าวไปในทิศทางใดขึ้นอยู่กับผู้ใช้ในปัจจุบัน
เบื้องหน้าเบื้องหลังการปฏิวัติ กบฏ หรือรัฐประหารในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่เรารับรู้ย่อมเป็นไปอย่างหลากหลาย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ใครคือผู้ครอบครอบ "อำนาจ"ในการเปิดเผยประวัติศาสตร์ในขณะนั้นๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจละเลยได้ นั้นก็คือ ส่วนหนึ่งของ พระราชหัตถเลขาฉบับประวัติศาสตร์ว่าของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้ง ได้ทรงสละราชสมบัติ ในวันที่ 2 มีนาคม 2477 ความว่า
"…ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน"
ข้อมูลอ้างอิง
10 ธันวา วันรัฐธรรมนูญ ? คอลัมน์ ระดมสมอง โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3855 (3055)
กบฏ - ปฏิวัติ - รัฐประหาร ในสังคมการเมืองไทย หัวไม้ story
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475 งานศึกษาวิจัย ของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
สถาบันพระปกเกล้า www.kpi2.org
http://vcharkarn.com/varticle/38847
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556
อาณาจักรขอม
อาณาจักรขอม
ยุคอาณาจักรขอม เมื่ออาณาจักรเจนละเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรขอม ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่นครธม ก็ได้แผ่อำนาจไปทั่วภาคอีสาน ภาคกลางและภาคเหนือบางส่วนของประเทศไทยในปัจจุบัน บริเวณแถบลุ่มแม่น้ำโขงในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ เป็นดินแดนที่ตกอยู่ในอิทธิพล และวัฒนธรรมของอาณาจักรขอม นำลัทธิศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามาแพร่หลาย มีการสร้างปราสาทขอมขึ้นบนภูมิภาคนี้ขึ้นไปจนถึงจังหวัดสกลนคร อุดรธานี หนองคายและเวียงจันทน์ แต่ไม่พบร่องรอยศาสนสถานที่เป็นแบบของขอมในเขตจังหวัดมุกดาหาร คงพบแต่ไหมีหูบรรจุกระดูกคนตายที่ฝังไว้ในดินเป็นจำนวนมาก ในเกือบทุกพื้นที่ของจังหวัด ซึ่งนักโบราณคดีระบุว่าเป็นศิลปะแบบลพบุรี (ขอม) จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบจังหวัดมุกดาหาร น่าจะเป็นชนเผ่าข่า แต่ถูกปกครองโดยอาณาจักรขอม ยังเป็นชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีความสำคัญทางการปกครอง เหมือนแถบเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร หรือทางฝั่งขวาสะหวันนะ เขตทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ที่มีการสร้างพระธาตุนารายณ์เจงเวง สะพานหินและเรือนหินปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
มีผู้ให้รายละเอียดของรูปลักษณะหน้าตาของคนขอมไว้ว่าเป็นชาวใต้ ผิวคล้ำ ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบนทั้งชายหญิง
หลังยุคอาณาจักรขอม บริเวณแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงนับแต่เวียงจันทน์ลงไปถึงแก่งลี่ผี ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ และในที่สุดได้ตกเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๑
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ก่อนที่ชาวมุกดาหารจะอพยพเข้ามาอยู่ มีคนหลายเชื้อชาติปะปนกันโดยมีชนเผ่าข่าซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมเป็นหลักอยู่อาศัยมากที่สุด
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
เมืองมุกดาหาร พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร จากราชวงศ์เวียงจันทน์ได้แยกออกไปตั้งอาณาจักรจำปาศักดิ์ ผู้คนจากอาณาจักรเวียงจันทน์ จึงได้เริ่มอพยพลงมาตามลำแม่น้ำโขง มีการตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่หลายแห่งด้วยกัน
เจ้าจันทรสุริยวงษ์และพรรคพวกได้มาตั้งอยู่ที่บ้านหลวงโพนสิน บริเวณใกล้พระธาตุอิงฮัง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ต่อมาเจ้าจันทกินรีผู้เป็นบุตร ได้อพยพพรรคพวกข้ามโขง มาตั้งอยู่ที่เมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงปากห้วยบังมุก เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ พบพระพุทธรูปสององค์อยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงได้สร้างวัดขึ้นใหม่ในบริเวณวัดร้างเดิมริมฝั่งโขง ขนานนามวัดที่สร้างใหม่ว่าวัดศรีมุงคุณ (ศรีมงคล) และได้นำพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่พบไปประดิษฐานในวิหารของวัด ชาวเมืองขนานนามว่าพระเจ้าองค์หลวง เป็นพระประธานของวัดศรีมุงคุณ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนวัดได้เปลี่ยนนามเป็น วัดศรีมงคลใต้
ต่อมาเมื่อมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ ในเวลากลางคืนได้มีผู้เห็นดวงแก้วดวงหนึ่งสีสดใส เปล่งแสงเป็นประกายลอยออกจากต้นตาลเจ็ดยอดริมฝั่งโขง ล่องลอยไปตามลำน้ำโขงแทบทุกคืน จนใกล้รุ่งจึงลอยกลับมาที่ต้นตาลเจ็ดยอด เจ้าจันทกินรีจึงให้ขนานนามแก้วศุภมิตรดวงนี้ว่า แก้วมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ อาณาเขตเมืองมุกดาหารครอบคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง จนจรดแดนญวน
ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยากษัตริย์ศึก ยกกองทัพขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง เพื่อปราบปราม และรวบรวมหัวเมืองตั้งแต่นครจำปาศักดิ์ นครเวียงจันทร์ นครหลวงพระบาง และหัวเมืองใหญ่น้อยในสองฝั่งแม่น้ำโขง ให้รวมอยู่ในข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงธนบุรี เมืองมุกดาหารเป็นเมืองหนึ่งในบรรดาหัวเมืองดังกล่าว เจ้าจันทกินรีได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาจันทรศรีสุราชอุปราชมันธาตุราช เจ้าเมืองมุกดาหารคนแรก และได้รับพระราชทานนามเมืองว่า เมืองมุกดาหาร ได้มีเจ้าเมืองต่อ ๆ มาอีกหลายคน
พระยาจันทรศรีสุราช ฯ (เจ้าจันทกินรี) เจ้าเมืองคนแรกดำรงตำแหน่งอยู่ ๒๖ ปี ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๗
พระยาจันทรสุรียวงษ์ (กิ่ง) เป็นบุตรเจ้าเมืองคนแรก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๔๘ - ๒๓๘๓ ในปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เป็นกบฎต่อกรุงเทพ ฯ ได้ยกกองทัพล่วงเลยไปถึงเมืองนครราชสีมา แล้วกวาดต้อนผู้คนไปยังนครเวียงจันทน์ หัวเมืองใดขัดขืนก็จับเจ้าเมืองประหารชีวิต กำลังส่วนที่ยกลงมาตามลำแม่น้ำโขง ได้กวาดต้อนผู้คนตั้งแต่เมืองไชยบุรี นครพนม มุกดาหารและเมืองเขมราฐ เมืองมุกดาหารถูกตีแตก ชาวเมืองหลบหนีเข้าป่าเป็นส่วนมาก
ในการปราบปรามเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๕ เจ้าเมืองมุกดาหารได้รับมอบให้จัดไพร่พลเป็นกองลาดตระเวณออกไปยังเมืองมหาชัย เมืองชุมพร (จำพอน) เมืองพ้อง เมืองพลาน ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง กองทัพเมืองมุกดาหารได้กวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาได้ ๑,๐๕๗ คน ส่วนใหญ่เป็นพวกข่า กะโซ่ กะเลิ่ง ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่ฝ่ายเวียงจันทน์
ในปี พ.ศ.๒๓๗๕ เกิดฝนแล้งในเขตเมืองมุกดาหาร ทำนาได้เพียงหนึ่งส่วนเสียไปสองส่วน เก็บข้าวขึ้นฉางไว้ใช้ในราชการเมืองมุกดาหารได้เพียง ๖,๐๐๐ ถัง ส่งข้าวไปช่วยราชการกองทัพที่เมืองนครพนม ๑,๕๐๐ ถัง แจกจ่ายให้ครอบครัวที่อยพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ๑,๖๐๐ ถัง ราษฎรบางส่วนได้รับความเดือดร้อน จนถึงกับต้องกินข้าวผสมมันและกลอย
ในปี พ.ศ.๒๓๘๓ สมุหนายก ได้มีท้องตราพระราชสีห์มายังเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทางเมืองวัง เมืองพัน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองตะโปน (เซโปน) และเมืองชุมพร (จำพอน) มีกลุ่มคนหลายเผ่าเพันธุ์ เช่น ผู้ไทย ข่า กะโซ่ กะเลิง ย้อ ฯลฯ เป็นอันมากอาจเป็นกำลังแก่ฝ่ายญวน จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ พระเทพวรษา (บุญจันทร์) เจ้าเมืองเขมราฐ เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพเมืองอุบล ฯ เมืองเขมราฐ และเมืองมุกดาหาร ยกข้ามโขงไปกวาดต้อนผู้คนในเมืองดังกล่าว เพื่อตัดเส้นทางของกองทัพญวน ให้ห่างไกลออกไป
พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) (พ.ศ.๒๓๘๔ - ๒๔๐๕) เป็นบุตรเจ้าคนก่อน ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ ก่อนหน้านั้นอุปฮาด (พรหม) ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา ให้เป็นผู้ว่า ที่เจ้าเมืองมุกดาหาร
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เมืองมุกดาหารกำกับเมืองหนองสูง ให้ไปรักษาเขตแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีหน้าที่รักษาเขตแดนที่เมืองคำอ้อ ทางด้านตะวันออกถึงเมืองห้วยกะสะ ทางเหนือถึงทุ่งทรายค้อ ต่อเขตเมืองมหาไชย ด้านตะวันตกถึงทุ่งนาบอน แขวงเมืองมหาไชย ด้านใต้ถึงลำเซน้อย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ที่จะต้องลาดตระเวณตรวจตรา
ส่วน อุปฮาด ราชบุตรเมืองหนองสูง ที่อพยพมาจากเมืองวัง ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านคำชะอี ให้จัดกำลังคนออกไปตั้งด่านรักษาเขตแดน ที่เมืองวัง ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงด้านตะวันออก ถึงห้วยพะเยาต่อเมืองคาง ด้านเหนือถึงบ้านนาค้อใต้น้ำกวด ด้านตะวันตกถึงภูเขาสร่างเห่ ด้านใต้ถึงภูเขานอ ให้เมืองมุกดาหารแบ่งเขตแดนให้เมืองหนองสูง ด้านตะวันออกตั้งแต่ห้วยทราย ด้านเหนือถึงเขตบางมอญ ด้านตะวันตกถึงห้วยบังอี ด้านใต้ตั้งแต่บ้านห้วยทราย
เมืองมุกดาหาร ได้แต่งกรมการเมือง ท้าวเพี้ย ผลัดเปลี่ยนกันข้ามโขง ออกไปลาดตระเวณสืบข้อราชการทางเมืองวัง เมืองคำอ้อต่อแดนญวนอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด
ปี พ.ศ.๒๓๙๗ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ของสมุหนายก ขึ้นมาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารว่า เนื่องจากในเมืองจีนได้เกิดการกบฎขึ้น เรือสำเภาจีนที่เคยเดินทางไปมาค้าขายลดน้อยลง ท้องพระคลังจึงจำหน่ายผลเร่ว (หมากเหน่ง) ส่วยที่ส่งไปเมืองได้น้อยลง ประกอบกับผลเร่วในป่าแถบลุ่มแม่น้ำโขงก็มีน้อยลง บางครั้งเจ้าเมืองกรมการต้องจัดหาเงินไปซื้อผลเร่ว เพื่อส่งไปกรุงเทพ ฯ อนึ่ง การนำผลเร่วบรรทุกช้าง ม้า โค ต่าง ๆ ลงไปส่งกรุงเทพ ฯ ก็เป็นการลำบากอยู่แล้ว ฉะนั้น หากหาผลเร่วไม่ได้ หรือไม่พอเพียง ก็ให้เจ้าเมืองกรมการเอาเงินลงไปส่งแทน จึงให้เรียกว่า เงินแทนผลเร่วส่วย โดยให้คิดราคาแทนผลเร่วหาบละ ๕ ตำลึง (๒๐ บาท) โดยคิดจากชายฉกรรจ์ ๑๐ คน ต่อผลเร่ว ๑ หาบ
ในปี พ.ศ.๒๔๐๐ พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) ถึงแก่กรรม อุปฮาด (คำ) ได้เป็นผู้รักษาเมืองต่อมาอีก ๒ ปี
เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ ฯ (เจ้าหนู) (พ.ศ.๒๔๐๘ - ๒๔๑๒) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าหนู เชื้อสายเจ้าจากราชวงศ์เวียงจันทน์ เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๗ เดิมเป็นเจ้าเมืองขอนแก่น ส่วนอุปฮาด (คำ) ผู้รักษาเมืองมุกดาหารมาก่อน ก็ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็ฯ พระพฤกษมนตรี ตำแหน่ง จางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๑ เจ้าจันทรสุริยวงษ์ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้มีศุภอักษร กราบบังคลทูล ฯ ลงไปกรุงเทพ ฯ ว่า ได้เกลี้ยกล่อมได้พวกลาวพวน และผู้ไทย จากเมืองเชียงขวาง เมืองสุย เมืองสบแอก เมืองซำเหนือ เมืองบัว เมืองพาน เมืองส่วย เมืองแทน มีหลวงภักดี ฯ เป็นหัวหน้า สวามิภักดิ์และขอทำราชการขึ้นกับเมืองมุกดาหาร มีจำนวน ๑,๐๙๔ คน จึงให้พักตั้งครอบครัวอยู่ที่บ้านหนองแก้ว หาดเดือย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ตรงข้ามอำเภอบึงกาฬ) ซึ่งเป็นเขตนครเวียงจันทน์เดิม จึงขอรับพระราชทานตั้งขึ้นเป็นเมือง ต่อมาจึงได้โปรดเกล้า ฯ ตั้งขึ้นเป็นเมืองประชุมพนาลัย ขึ้นกับเมืองมุกดาหาร ปัจจุบันลาวเรียกว่า เมืองประชุม
เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้จัดราชบรรณาการ มีต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน สูง ๙ ชั้น หนักต้นละ ๒ ตำลึง ๓ บาท พร้อมด้วย นรนาด ๑ ยอด งาช้าง ๑๒ กิ่ง สีผึ้งหนัก ๑๒ บาท กับเงินแทนผลเร่วส่วย เป็นราชบรรณาการของเมืองมุกดาหาร เสมือนหนึ่งเป็นประเทศราช ลงไปทูลเกล้า ฯ ถวายที่กรุงเทพ ฯ ทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๐ ต่อมาได้ยกเลิกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔
เมืองในภาคอีสานที่เคยถวายราชบรรณาการต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน มีอยู่สองเมืองคือ เมืองนครพนม และเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๒ พระพฤกษมนตรี (คำ) จางวางอุปฮาด (จีน) และราชบุตร (แท่ง) ได้นำคำฟ้องกล่าวโทษ เจ้าจันทรเทพ ฯ ถึง ๔๐ ข้อ ระบุความผิดว่า ได้เบียดเบียนประพฤติผิดในทำนองคลองธรรมของบ้านเมือง ราษฎรเดือดร้อน ต่อมาได้มีท้องตราพระราชสีห์มาถึงเมืองมุกดาหารว่า ให้เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมือง เจ้าราชวงศ์ (เจ้าดวงเกษ) พระศรีวรราช (เจ้าดวงจันทร์) เจ้าเมืองท่าอุเทน ผู้เป็นบุตรลงไปสู้คดีความที่กรุงเทพ ฯ ตระลาการ เห็นว่ามีความผิดจริง สมควรถอดออกจากตำแหน่งทั้งสามคน แล้วให้ยึดตัวไว้ในกรุงเทพ ฯ ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้บรรดาศักดิ์ทั้งสามคน ลงมาใช้นามเดิม
พระจันทรสุริยวงษ์ (คำ) (พ.ศ.๒๔๑๓ - ๒๔๒๐) พระพฤกษมนตรี (คำ) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระจันทรสุริยวงษ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร ในปี พ.ศ.๒๔๑๓ นับเป็นเจ้าเมืองลำดับที่ห้า เป็นบุตรพระยาจันทสุริยวงษ์ (กิ่ง) เจ้าเมืองมุกดาหารลำดับที่สอง และยังคงพระราชทานเครื่องยศบรรดาศักดิ์ เสมอเหมือนเจ้าเมืองหัวเมืองชั้นเอก ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
ปี พ.ศ.๒๔๑๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ จากสมุหนายกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ สุวรรณภูมิ อุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร เขมราฐ เพชรบูรณ์ วิเชียร และหล่มสัก ว่าเนื่องจากทัพฮ่อยกมาตีเมืองเวียงจันทน์ และหนองคาย จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จ ฯ กรมพระบำราศปรปักษ์ เป็นเแม่ทัพใหญ่ยกออกจากกรุงเทพ ฯ จึงให้เกณฑ์กองทัพเมืองร้อยเอ็ด ๕,๐๐๐ เมืองสุวรรณภูมิ ๕,๐๐๐ เมืองกาฬสินธ์ ๔,๐๐๐ เมืองอุบลราชธานี ๑๐,๐๐๐ เมืองยโสธร ๕,๐๐๐ เมืองเขมราฐ ๔,๐๐๐ เมืองมุกดาหาร ๔,๐๐๐ รวม ๓๗,๐๐๐ คน ส่วนเมืองเพชรบูรณ์ ๔๐๐ ช้าง ๒๐ เชือก เมืองวิเชียร ๒๐๐ ช้าง ๑๕ เชือก เมืองหล่มสัก ๖๐๐ ช้าง ๒๐๐ เชือก โดยให้เตรียมทัพไว้ให้พร้อม
ในปลายปี พ.ศ.๒๔๑๘ พระยามหาอำมาตย์ เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ซึ่งขึ้นมาจัดราชการ และตั้งอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานี ได้มีคำสั่งมายังหัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ให้จัดเตรียมเรือไว้ใช้ในราชการทัพ เพื่อเตรียมยกกองทัพทางเรือไปสมทบ กองทัพใหญ่ในการปราบฮ่อ โดยให้เตรียมขุดถากทำเรือไว้ให้ กว้าง ๔ วา ๕ ศอก ๖ คืบ คือ เมืองหนองคาย ๕๐ ลำ เมืองโพนพิสัย ๓๐ ลำ เมืองไชยบุรี ๒๐ ลำ เมืองท่าอุเทน ๑๕ ลำ เมืองนครพนม ๕๐ ลำ เมืองเขมราฐ ๔๐ ลำ เมืองมุกดาหาร ๔๐ ลำ รวม ๒๔๕ ลำ
พระจันทรสุริยวงษ์ (บุญเฮ้า) (พ.ศ.๒๔๒๑ - ๒๔๓๐) ได้รักษาราชการเมืองมุกดาหารอยู่สองปี จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรประทับพระราชลัญจกร ตั้งให้เป็นพระจันทรสุริยวงศ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๒๕ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่มาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารมีใจความว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๐ ให้ยกเมืองกุฉินารายณ์เมืองขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ มาขึ้นเมืองมุกดาหารนั้น บัดนี้เจ้าเมืองกาฬสินธุ์และเจ้าเมืองกุฉินารายณ์ได้ถึงแก่กรรมแล้วทั้งสองคน ท้าวกินรีผู้ว่าที่เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ ได้ขอกลับคืนไปขึ้นกับเมืองกาฬสินธุ์ตามเดิม
ในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่ขึ้นมาถึงเมืองมุกดาหารว่าได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (หวน ศรีเพ็ญ) สมุหมหาดไทยฝ่ายเหนือ และข้าหลวงใหญ่ซึ่งมาจัดราชการอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นแม่ทัพยกขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองเขมราฐ ริมฝั่งโขง เนื่องจากเมื่อฝรั่งเศสได้ดินแดนญวนทางภาคใต้ แล้วบังคับให้ญวนทำสัญญา เพื่อจัดราชการบ้านเมืองตามสัญญาปี ค.ศ.๑๘๘๓ (พ.ศ.๒๔๒๖) แต่พระเจ้าแผ่นดินญวน พร้อมผู้สำเร็จราชการ ได้ระดมทหารถึงสามหมื่นคนมาตั้งอยู่ที่เมืองเว้แล้วเข้าทำร้ายนายพลฝรั่งเศส จุดไฟเผาทำลายค่ายทหารฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้จับผู้สำเร็จราชการและฆ่าทหารญวนตาย
๑,๒๐๐ คน พระเจ้าแผ่นดินญวนและเสนาบดีได้หลบหนีเข้ามาในพระราชอาณาเขต ได้หลบหนีเข้ามาทางเมืองลาดคำรั้ง เมืองลาวบาว แข้ามาหลบซ่อนทางเมืองวัง ที่บ้านดงม่วง เมื่อพบกำลังฝ่ายไทยยกออกไปสกัดกั้นจึงได้หลบหนีออกไปทางเมืองคำเกิดคำม่วน บ้านนาแป ข้ามเขาบรรทัดแล้วหนีออกไปเมืองต่งเหง่ (เมืองวินห์)
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๔ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้เริ่มเผยแพร่ออกสู่หัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งวัดศาสนาคริสต์ที่บ้านบุ่งกระแทง เมืองอุบล ฯ แล้วแผ่ขยายตามลำน้ำโขงที่เมืองสกลนคร (ท่าแร่) เมืองนครพนม (หนองแสง) และเมืองมุกดาหาร (สองคอน) บรรดาพวกทาสซึ่งส่วนมากเป็นพวกข่าและภูเทิง (ผู้ไทยผสมญวน) ได้ถูกชักชวนให้ไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ได้หลบหนีจากเจ้าเบี้ยนายเงินไปพึ่งพาอาศัยอยู่กับบาทหลวงเป็นจำนวนมาก เกิดมีปัญหาระหว่างนายเงินและตัวทาส ครั้นเจ้าของทาสไปร้องขอกับบาทหลวงก็ไม่ยอม
พระยาศศิวงษ์ประวัติ (เมฆ จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๓๐ - ๒๔๔๐) ราชบุตร (เมฆ) ได้เป็นผู้รักษาราชการเจ้าเมือง แทนหลังจากที่เจ้าเมืองคนก่อนถึงแก่กรรม และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔ และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระจันทรเทพสุริยวงษา เจ้าเมืองมุกดาหาร เป็นพระยาศศิวงษ์ประวัติ ตำแหน่งจางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร เนื่องจากเป็นเจ้าเมืองเก่า มีอายุมาก และได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองให้เหมือนกันหมดทั่วราชอาณาจักร ให้ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงษ์ ราชบุตร ตามธรรมเนียมโบราณ มาเป็นผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมือง
พระจันทรเทพสุริยวงษา (แสง จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๔๑ - ๒๔๔๙) ราชวงษ์ (แสง) บุตรพระยาศศิวงษ์ประวัติ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระจันทรเทพสุริยวงษา ผู้ว่าราชการเมืองมุกดาหารคนแรก
ปี พ.ศ.๒๔๔๖ เมืองมุกดาหารมีสองอำเภอคืออำเภอเมือง ฯ และอำเภอเมืองหนองสูง ส่วนเมืองพาลุกากรภูมิถูกยุบลงเป็นหมู่บ้าน
ที่มา http://manussawee-story.blogspot.com/
ยุคอาณาจักรขอม เมื่ออาณาจักรเจนละเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรขอม ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่นครธม ก็ได้แผ่อำนาจไปทั่วภาคอีสาน ภาคกลางและภาคเหนือบางส่วนของประเทศไทยในปัจจุบัน บริเวณแถบลุ่มแม่น้ำโขงในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ เป็นดินแดนที่ตกอยู่ในอิทธิพล และวัฒนธรรมของอาณาจักรขอม นำลัทธิศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามาแพร่หลาย มีการสร้างปราสาทขอมขึ้นบนภูมิภาคนี้ขึ้นไปจนถึงจังหวัดสกลนคร อุดรธานี หนองคายและเวียงจันทน์ แต่ไม่พบร่องรอยศาสนสถานที่เป็นแบบของขอมในเขตจังหวัดมุกดาหาร คงพบแต่ไหมีหูบรรจุกระดูกคนตายที่ฝังไว้ในดินเป็นจำนวนมาก ในเกือบทุกพื้นที่ของจังหวัด ซึ่งนักโบราณคดีระบุว่าเป็นศิลปะแบบลพบุรี (ขอม) จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบจังหวัดมุกดาหาร น่าจะเป็นชนเผ่าข่า แต่ถูกปกครองโดยอาณาจักรขอม ยังเป็นชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีความสำคัญทางการปกครอง เหมือนแถบเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร หรือทางฝั่งขวาสะหวันนะ เขตทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ที่มีการสร้างพระธาตุนารายณ์เจงเวง สะพานหินและเรือนหินปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
มีผู้ให้รายละเอียดของรูปลักษณะหน้าตาของคนขอมไว้ว่าเป็นชาวใต้ ผิวคล้ำ ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบนทั้งชายหญิง
หลังยุคอาณาจักรขอม บริเวณแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงนับแต่เวียงจันทน์ลงไปถึงแก่งลี่ผี ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ และในที่สุดได้ตกเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๑
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ก่อนที่ชาวมุกดาหารจะอพยพเข้ามาอยู่ มีคนหลายเชื้อชาติปะปนกันโดยมีชนเผ่าข่าซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมเป็นหลักอยู่อาศัยมากที่สุด
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
เมืองมุกดาหาร พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร จากราชวงศ์เวียงจันทน์ได้แยกออกไปตั้งอาณาจักรจำปาศักดิ์ ผู้คนจากอาณาจักรเวียงจันทน์ จึงได้เริ่มอพยพลงมาตามลำแม่น้ำโขง มีการตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่หลายแห่งด้วยกัน
เจ้าจันทรสุริยวงษ์และพรรคพวกได้มาตั้งอยู่ที่บ้านหลวงโพนสิน บริเวณใกล้พระธาตุอิงฮัง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ต่อมาเจ้าจันทกินรีผู้เป็นบุตร ได้อพยพพรรคพวกข้ามโขง มาตั้งอยู่ที่เมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงปากห้วยบังมุก เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ พบพระพุทธรูปสององค์อยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงได้สร้างวัดขึ้นใหม่ในบริเวณวัดร้างเดิมริมฝั่งโขง ขนานนามวัดที่สร้างใหม่ว่าวัดศรีมุงคุณ (ศรีมงคล) และได้นำพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่พบไปประดิษฐานในวิหารของวัด ชาวเมืองขนานนามว่าพระเจ้าองค์หลวง เป็นพระประธานของวัดศรีมุงคุณ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนวัดได้เปลี่ยนนามเป็น วัดศรีมงคลใต้
ต่อมาเมื่อมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ ในเวลากลางคืนได้มีผู้เห็นดวงแก้วดวงหนึ่งสีสดใส เปล่งแสงเป็นประกายลอยออกจากต้นตาลเจ็ดยอดริมฝั่งโขง ล่องลอยไปตามลำน้ำโขงแทบทุกคืน จนใกล้รุ่งจึงลอยกลับมาที่ต้นตาลเจ็ดยอด เจ้าจันทกินรีจึงให้ขนานนามแก้วศุภมิตรดวงนี้ว่า แก้วมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ อาณาเขตเมืองมุกดาหารครอบคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง จนจรดแดนญวน
ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยากษัตริย์ศึก ยกกองทัพขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง เพื่อปราบปราม และรวบรวมหัวเมืองตั้งแต่นครจำปาศักดิ์ นครเวียงจันทร์ นครหลวงพระบาง และหัวเมืองใหญ่น้อยในสองฝั่งแม่น้ำโขง ให้รวมอยู่ในข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงธนบุรี เมืองมุกดาหารเป็นเมืองหนึ่งในบรรดาหัวเมืองดังกล่าว เจ้าจันทกินรีได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาจันทรศรีสุราชอุปราชมันธาตุราช เจ้าเมืองมุกดาหารคนแรก และได้รับพระราชทานนามเมืองว่า เมืองมุกดาหาร ได้มีเจ้าเมืองต่อ ๆ มาอีกหลายคน
พระยาจันทรศรีสุราช ฯ (เจ้าจันทกินรี) เจ้าเมืองคนแรกดำรงตำแหน่งอยู่ ๒๖ ปี ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๗
พระยาจันทรสุรียวงษ์ (กิ่ง) เป็นบุตรเจ้าเมืองคนแรก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๔๘ - ๒๓๘๓ ในปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เป็นกบฎต่อกรุงเทพ ฯ ได้ยกกองทัพล่วงเลยไปถึงเมืองนครราชสีมา แล้วกวาดต้อนผู้คนไปยังนครเวียงจันทน์ หัวเมืองใดขัดขืนก็จับเจ้าเมืองประหารชีวิต กำลังส่วนที่ยกลงมาตามลำแม่น้ำโขง ได้กวาดต้อนผู้คนตั้งแต่เมืองไชยบุรี นครพนม มุกดาหารและเมืองเขมราฐ เมืองมุกดาหารถูกตีแตก ชาวเมืองหลบหนีเข้าป่าเป็นส่วนมาก
ในการปราบปรามเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๕ เจ้าเมืองมุกดาหารได้รับมอบให้จัดไพร่พลเป็นกองลาดตระเวณออกไปยังเมืองมหาชัย เมืองชุมพร (จำพอน) เมืองพ้อง เมืองพลาน ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง กองทัพเมืองมุกดาหารได้กวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาได้ ๑,๐๕๗ คน ส่วนใหญ่เป็นพวกข่า กะโซ่ กะเลิ่ง ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่ฝ่ายเวียงจันทน์
ในปี พ.ศ.๒๓๗๕ เกิดฝนแล้งในเขตเมืองมุกดาหาร ทำนาได้เพียงหนึ่งส่วนเสียไปสองส่วน เก็บข้าวขึ้นฉางไว้ใช้ในราชการเมืองมุกดาหารได้เพียง ๖,๐๐๐ ถัง ส่งข้าวไปช่วยราชการกองทัพที่เมืองนครพนม ๑,๕๐๐ ถัง แจกจ่ายให้ครอบครัวที่อยพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ๑,๖๐๐ ถัง ราษฎรบางส่วนได้รับความเดือดร้อน จนถึงกับต้องกินข้าวผสมมันและกลอย
ในปี พ.ศ.๒๓๘๓ สมุหนายก ได้มีท้องตราพระราชสีห์มายังเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทางเมืองวัง เมืองพัน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองตะโปน (เซโปน) และเมืองชุมพร (จำพอน) มีกลุ่มคนหลายเผ่าเพันธุ์ เช่น ผู้ไทย ข่า กะโซ่ กะเลิง ย้อ ฯลฯ เป็นอันมากอาจเป็นกำลังแก่ฝ่ายญวน จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ พระเทพวรษา (บุญจันทร์) เจ้าเมืองเขมราฐ เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพเมืองอุบล ฯ เมืองเขมราฐ และเมืองมุกดาหาร ยกข้ามโขงไปกวาดต้อนผู้คนในเมืองดังกล่าว เพื่อตัดเส้นทางของกองทัพญวน ให้ห่างไกลออกไป
พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) (พ.ศ.๒๓๘๔ - ๒๔๐๕) เป็นบุตรเจ้าคนก่อน ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ ก่อนหน้านั้นอุปฮาด (พรหม) ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา ให้เป็นผู้ว่า ที่เจ้าเมืองมุกดาหาร
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เมืองมุกดาหารกำกับเมืองหนองสูง ให้ไปรักษาเขตแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีหน้าที่รักษาเขตแดนที่เมืองคำอ้อ ทางด้านตะวันออกถึงเมืองห้วยกะสะ ทางเหนือถึงทุ่งทรายค้อ ต่อเขตเมืองมหาไชย ด้านตะวันตกถึงทุ่งนาบอน แขวงเมืองมหาไชย ด้านใต้ถึงลำเซน้อย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ที่จะต้องลาดตระเวณตรวจตรา
ส่วน อุปฮาด ราชบุตรเมืองหนองสูง ที่อพยพมาจากเมืองวัง ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านคำชะอี ให้จัดกำลังคนออกไปตั้งด่านรักษาเขตแดน ที่เมืองวัง ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงด้านตะวันออก ถึงห้วยพะเยาต่อเมืองคาง ด้านเหนือถึงบ้านนาค้อใต้น้ำกวด ด้านตะวันตกถึงภูเขาสร่างเห่ ด้านใต้ถึงภูเขานอ ให้เมืองมุกดาหารแบ่งเขตแดนให้เมืองหนองสูง ด้านตะวันออกตั้งแต่ห้วยทราย ด้านเหนือถึงเขตบางมอญ ด้านตะวันตกถึงห้วยบังอี ด้านใต้ตั้งแต่บ้านห้วยทราย
เมืองมุกดาหาร ได้แต่งกรมการเมือง ท้าวเพี้ย ผลัดเปลี่ยนกันข้ามโขง ออกไปลาดตระเวณสืบข้อราชการทางเมืองวัง เมืองคำอ้อต่อแดนญวนอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด
ปี พ.ศ.๒๓๙๗ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ของสมุหนายก ขึ้นมาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารว่า เนื่องจากในเมืองจีนได้เกิดการกบฎขึ้น เรือสำเภาจีนที่เคยเดินทางไปมาค้าขายลดน้อยลง ท้องพระคลังจึงจำหน่ายผลเร่ว (หมากเหน่ง) ส่วยที่ส่งไปเมืองได้น้อยลง ประกอบกับผลเร่วในป่าแถบลุ่มแม่น้ำโขงก็มีน้อยลง บางครั้งเจ้าเมืองกรมการต้องจัดหาเงินไปซื้อผลเร่ว เพื่อส่งไปกรุงเทพ ฯ อนึ่ง การนำผลเร่วบรรทุกช้าง ม้า โค ต่าง ๆ ลงไปส่งกรุงเทพ ฯ ก็เป็นการลำบากอยู่แล้ว ฉะนั้น หากหาผลเร่วไม่ได้ หรือไม่พอเพียง ก็ให้เจ้าเมืองกรมการเอาเงินลงไปส่งแทน จึงให้เรียกว่า เงินแทนผลเร่วส่วย โดยให้คิดราคาแทนผลเร่วหาบละ ๕ ตำลึง (๒๐ บาท) โดยคิดจากชายฉกรรจ์ ๑๐ คน ต่อผลเร่ว ๑ หาบ
ในปี พ.ศ.๒๔๐๐ พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) ถึงแก่กรรม อุปฮาด (คำ) ได้เป็นผู้รักษาเมืองต่อมาอีก ๒ ปี
เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ ฯ (เจ้าหนู) (พ.ศ.๒๔๐๘ - ๒๔๑๒) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าหนู เชื้อสายเจ้าจากราชวงศ์เวียงจันทน์ เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๗ เดิมเป็นเจ้าเมืองขอนแก่น ส่วนอุปฮาด (คำ) ผู้รักษาเมืองมุกดาหารมาก่อน ก็ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็ฯ พระพฤกษมนตรี ตำแหน่ง จางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๑ เจ้าจันทรสุริยวงษ์ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้มีศุภอักษร กราบบังคลทูล ฯ ลงไปกรุงเทพ ฯ ว่า ได้เกลี้ยกล่อมได้พวกลาวพวน และผู้ไทย จากเมืองเชียงขวาง เมืองสุย เมืองสบแอก เมืองซำเหนือ เมืองบัว เมืองพาน เมืองส่วย เมืองแทน มีหลวงภักดี ฯ เป็นหัวหน้า สวามิภักดิ์และขอทำราชการขึ้นกับเมืองมุกดาหาร มีจำนวน ๑,๐๙๔ คน จึงให้พักตั้งครอบครัวอยู่ที่บ้านหนองแก้ว หาดเดือย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ตรงข้ามอำเภอบึงกาฬ) ซึ่งเป็นเขตนครเวียงจันทน์เดิม จึงขอรับพระราชทานตั้งขึ้นเป็นเมือง ต่อมาจึงได้โปรดเกล้า ฯ ตั้งขึ้นเป็นเมืองประชุมพนาลัย ขึ้นกับเมืองมุกดาหาร ปัจจุบันลาวเรียกว่า เมืองประชุม
เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้จัดราชบรรณาการ มีต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน สูง ๙ ชั้น หนักต้นละ ๒ ตำลึง ๓ บาท พร้อมด้วย นรนาด ๑ ยอด งาช้าง ๑๒ กิ่ง สีผึ้งหนัก ๑๒ บาท กับเงินแทนผลเร่วส่วย เป็นราชบรรณาการของเมืองมุกดาหาร เสมือนหนึ่งเป็นประเทศราช ลงไปทูลเกล้า ฯ ถวายที่กรุงเทพ ฯ ทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๐ ต่อมาได้ยกเลิกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔
เมืองในภาคอีสานที่เคยถวายราชบรรณาการต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน มีอยู่สองเมืองคือ เมืองนครพนม และเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๒ พระพฤกษมนตรี (คำ) จางวางอุปฮาด (จีน) และราชบุตร (แท่ง) ได้นำคำฟ้องกล่าวโทษ เจ้าจันทรเทพ ฯ ถึง ๔๐ ข้อ ระบุความผิดว่า ได้เบียดเบียนประพฤติผิดในทำนองคลองธรรมของบ้านเมือง ราษฎรเดือดร้อน ต่อมาได้มีท้องตราพระราชสีห์มาถึงเมืองมุกดาหารว่า ให้เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมือง เจ้าราชวงศ์ (เจ้าดวงเกษ) พระศรีวรราช (เจ้าดวงจันทร์) เจ้าเมืองท่าอุเทน ผู้เป็นบุตรลงไปสู้คดีความที่กรุงเทพ ฯ ตระลาการ เห็นว่ามีความผิดจริง สมควรถอดออกจากตำแหน่งทั้งสามคน แล้วให้ยึดตัวไว้ในกรุงเทพ ฯ ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้บรรดาศักดิ์ทั้งสามคน ลงมาใช้นามเดิม
พระจันทรสุริยวงษ์ (คำ) (พ.ศ.๒๔๑๓ - ๒๔๒๐) พระพฤกษมนตรี (คำ) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระจันทรสุริยวงษ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร ในปี พ.ศ.๒๔๑๓ นับเป็นเจ้าเมืองลำดับที่ห้า เป็นบุตรพระยาจันทสุริยวงษ์ (กิ่ง) เจ้าเมืองมุกดาหารลำดับที่สอง และยังคงพระราชทานเครื่องยศบรรดาศักดิ์ เสมอเหมือนเจ้าเมืองหัวเมืองชั้นเอก ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
ปี พ.ศ.๒๔๑๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ จากสมุหนายกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ สุวรรณภูมิ อุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร เขมราฐ เพชรบูรณ์ วิเชียร และหล่มสัก ว่าเนื่องจากทัพฮ่อยกมาตีเมืองเวียงจันทน์ และหนองคาย จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จ ฯ กรมพระบำราศปรปักษ์ เป็นเแม่ทัพใหญ่ยกออกจากกรุงเทพ ฯ จึงให้เกณฑ์กองทัพเมืองร้อยเอ็ด ๕,๐๐๐ เมืองสุวรรณภูมิ ๕,๐๐๐ เมืองกาฬสินธ์ ๔,๐๐๐ เมืองอุบลราชธานี ๑๐,๐๐๐ เมืองยโสธร ๕,๐๐๐ เมืองเขมราฐ ๔,๐๐๐ เมืองมุกดาหาร ๔,๐๐๐ รวม ๓๗,๐๐๐ คน ส่วนเมืองเพชรบูรณ์ ๔๐๐ ช้าง ๒๐ เชือก เมืองวิเชียร ๒๐๐ ช้าง ๑๕ เชือก เมืองหล่มสัก ๖๐๐ ช้าง ๒๐๐ เชือก โดยให้เตรียมทัพไว้ให้พร้อม
ในปลายปี พ.ศ.๒๔๑๘ พระยามหาอำมาตย์ เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ซึ่งขึ้นมาจัดราชการ และตั้งอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานี ได้มีคำสั่งมายังหัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ให้จัดเตรียมเรือไว้ใช้ในราชการทัพ เพื่อเตรียมยกกองทัพทางเรือไปสมทบ กองทัพใหญ่ในการปราบฮ่อ โดยให้เตรียมขุดถากทำเรือไว้ให้ กว้าง ๔ วา ๕ ศอก ๖ คืบ คือ เมืองหนองคาย ๕๐ ลำ เมืองโพนพิสัย ๓๐ ลำ เมืองไชยบุรี ๒๐ ลำ เมืองท่าอุเทน ๑๕ ลำ เมืองนครพนม ๕๐ ลำ เมืองเขมราฐ ๔๐ ลำ เมืองมุกดาหาร ๔๐ ลำ รวม ๒๔๕ ลำ
พระจันทรสุริยวงษ์ (บุญเฮ้า) (พ.ศ.๒๔๒๑ - ๒๔๓๐) ได้รักษาราชการเมืองมุกดาหารอยู่สองปี จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรประทับพระราชลัญจกร ตั้งให้เป็นพระจันทรสุริยวงศ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๒๕ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่มาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารมีใจความว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๐ ให้ยกเมืองกุฉินารายณ์เมืองขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ มาขึ้นเมืองมุกดาหารนั้น บัดนี้เจ้าเมืองกาฬสินธุ์และเจ้าเมืองกุฉินารายณ์ได้ถึงแก่กรรมแล้วทั้งสองคน ท้าวกินรีผู้ว่าที่เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ ได้ขอกลับคืนไปขึ้นกับเมืองกาฬสินธุ์ตามเดิม
ในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่ขึ้นมาถึงเมืองมุกดาหารว่าได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (หวน ศรีเพ็ญ) สมุหมหาดไทยฝ่ายเหนือ และข้าหลวงใหญ่ซึ่งมาจัดราชการอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นแม่ทัพยกขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองเขมราฐ ริมฝั่งโขง เนื่องจากเมื่อฝรั่งเศสได้ดินแดนญวนทางภาคใต้ แล้วบังคับให้ญวนทำสัญญา เพื่อจัดราชการบ้านเมืองตามสัญญาปี ค.ศ.๑๘๘๓ (พ.ศ.๒๔๒๖) แต่พระเจ้าแผ่นดินญวน พร้อมผู้สำเร็จราชการ ได้ระดมทหารถึงสามหมื่นคนมาตั้งอยู่ที่เมืองเว้แล้วเข้าทำร้ายนายพลฝรั่งเศส จุดไฟเผาทำลายค่ายทหารฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้จับผู้สำเร็จราชการและฆ่าทหารญวนตาย
๑,๒๐๐ คน พระเจ้าแผ่นดินญวนและเสนาบดีได้หลบหนีเข้ามาในพระราชอาณาเขต ได้หลบหนีเข้ามาทางเมืองลาดคำรั้ง เมืองลาวบาว แข้ามาหลบซ่อนทางเมืองวัง ที่บ้านดงม่วง เมื่อพบกำลังฝ่ายไทยยกออกไปสกัดกั้นจึงได้หลบหนีออกไปทางเมืองคำเกิดคำม่วน บ้านนาแป ข้ามเขาบรรทัดแล้วหนีออกไปเมืองต่งเหง่ (เมืองวินห์)
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๔ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้เริ่มเผยแพร่ออกสู่หัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งวัดศาสนาคริสต์ที่บ้านบุ่งกระแทง เมืองอุบล ฯ แล้วแผ่ขยายตามลำน้ำโขงที่เมืองสกลนคร (ท่าแร่) เมืองนครพนม (หนองแสง) และเมืองมุกดาหาร (สองคอน) บรรดาพวกทาสซึ่งส่วนมากเป็นพวกข่าและภูเทิง (ผู้ไทยผสมญวน) ได้ถูกชักชวนให้ไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ได้หลบหนีจากเจ้าเบี้ยนายเงินไปพึ่งพาอาศัยอยู่กับบาทหลวงเป็นจำนวนมาก เกิดมีปัญหาระหว่างนายเงินและตัวทาส ครั้นเจ้าของทาสไปร้องขอกับบาทหลวงก็ไม่ยอม
พระยาศศิวงษ์ประวัติ (เมฆ จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๓๐ - ๒๔๔๐) ราชบุตร (เมฆ) ได้เป็นผู้รักษาราชการเจ้าเมือง แทนหลังจากที่เจ้าเมืองคนก่อนถึงแก่กรรม และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔ และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระจันทรเทพสุริยวงษา เจ้าเมืองมุกดาหาร เป็นพระยาศศิวงษ์ประวัติ ตำแหน่งจางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร เนื่องจากเป็นเจ้าเมืองเก่า มีอายุมาก และได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองให้เหมือนกันหมดทั่วราชอาณาจักร ให้ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงษ์ ราชบุตร ตามธรรมเนียมโบราณ มาเป็นผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมือง
พระจันทรเทพสุริยวงษา (แสง จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๔๑ - ๒๔๔๙) ราชวงษ์ (แสง) บุตรพระยาศศิวงษ์ประวัติ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระจันทรเทพสุริยวงษา ผู้ว่าราชการเมืองมุกดาหารคนแรก
ปี พ.ศ.๒๔๔๖ เมืองมุกดาหารมีสองอำเภอคืออำเภอเมือง ฯ และอำเภอเมืองหนองสูง ส่วนเมืองพาลุกากรภูมิถูกยุบลงเป็นหมู่บ้าน
ที่มา http://manussawee-story.blogspot.com/
ประวัติการเสียดินแดนของไทย 14 ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เกาะหมาก(ปีนัง)เสียให้กับประเทศอังกฤษ
เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๓๒๙ พื้นที่ ๓๗๕ ตร.กม. ในสมัย ร.๑ เกิดจาก พระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมากเพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป
ครั้งที่ 2 เสียเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้พม่า
พื้นที่ ๕๕,000 ตร.กม.ในรัชกาลที่ ๑ มังสัจจาเจ้าเมืองทวายเป็นไส้สึกให้พม่า เพราะไม่พอใจที่กองทัพไทยเข้ายึดครอง และไทยไม่สามารถตีคืนกลับมาได้
ครั้งที่ ๓ บันทายมาศ(ฮาเตียน)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๒
ครั้งที่ ๔ แสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่า
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๘ พื้นที่ ๖๒,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ ๓ แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ ๒๐ ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และ เกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้(กลันตัน ไทรบุรี)
ครั้งที่ ๕ รัฐเปรัค ให้กับอังกฤษ
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นการสูญเสียที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง ๑ ปี
ครั้งที่ ๖ สิบสองปันนา ให้กับจีน
เมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๓๙๗ พื้นที่ ๙๐,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ ๑ ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูนไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง)แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่ พร้อมเพรียงกัน มาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท(ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป
ครั้งที่ ๗ เขมรและเกาะ ๖ เกาะ ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ พื้นที่ ๑๒๔,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๔ ฝรั่งเศสบังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดนเขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจากฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ ๑๕ มกราคม ๒๔๓๘ โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับการดำเนินนโยบายของ ร.๕ ที่ไปประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทยฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป
ครั้งที่ ๘ สิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๓๑ พื้นที่ ๘๗,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ ๕ พวกฮ่อ ก่อกบฏ ไทยจัดกำลังไปปราบ ๒ กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้วก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุดไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง(เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเมืองเชียงค้อ
ครั้งที่ ๙ ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ให้กับประเทศอังกฤษ
ใน สมัย รัชกาลที่ ๕ ในห้วงปี ๒๔๓๓ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
ครั้งที่ ๑๐ ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ พื้นที่ ๑๔๓,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๕
เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญาไทยกับฝรั่งเศส
เท่า นั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย ๑ ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก ๓ ล้านบาท และยังไม่พอฝรั่งเศสได้ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง ๑๕ ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขายเครื่อง แต่งกายเพื่อนำเงินมาถวาย ร.๕ เป็นค่าปรับ ร.๕ ต้องนำถุงแดง(เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้
ครั้งที่ ๑๑ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่าน,จำปาศักดิ์,มโนไพร)ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ พื้นที่ ๒๕,๕๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๕
ไทย ทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรีแล้วไปยึดเมืองตราดแทนอีก ๕ ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้วยังลุกล้ำย้านนาดี,ด่านซ้าน จ.เลย
และยังได้เอาศิลาจารึกที่พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย
ครั้งที่ ๑๒ มลฑลบูรพา(พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อปี ๒๔๔๙ พื้นที่ ๕๑,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕
ไทย ได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ ๖ กรกฎาคม ๒๔๕๐ กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย
ครั้งที่ ๑๓ รัฐกลันตัน,ตรังกานู,ไทรบุรี,ปริส ให้กับอังกฤษ เมื่อ ๓๐ มีนาคม ๒๔๕๑ พื้นที่ ๘๐,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕ ไทยได้ทำสัญญากับอังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในไทย
ครั้งที่ ๑๔ เขาพระวิหาร ให้กับเขมร
เมื่อ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ พื้นที่ ๒ ตร.กม. ในสมัย ร.๙
ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจากหลักฐานสำคัญของเขมร
ใน สมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเขาพระวิหาร จึงไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
ที่มา http://www.unigang.com/Article/4827
เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๓๒๙ พื้นที่ ๓๗๕ ตร.กม. ในสมัย ร.๑ เกิดจาก พระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมากเพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป
ครั้งที่ 2 เสียเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้พม่า
พื้นที่ ๕๕,000 ตร.กม.ในรัชกาลที่ ๑ มังสัจจาเจ้าเมืองทวายเป็นไส้สึกให้พม่า เพราะไม่พอใจที่กองทัพไทยเข้ายึดครอง และไทยไม่สามารถตีคืนกลับมาได้
ครั้งที่ ๓ บันทายมาศ(ฮาเตียน)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๒
ครั้งที่ ๔ แสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่า
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๘ พื้นที่ ๖๒,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ ๓ แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ ๒๐ ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และ เกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้(กลันตัน ไทรบุรี)
ครั้งที่ ๕ รัฐเปรัค ให้กับอังกฤษ
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นการสูญเสียที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง ๑ ปี
ครั้งที่ ๖ สิบสองปันนา ให้กับจีน
เมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๓๙๗ พื้นที่ ๙๐,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ ๑ ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูนไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง)แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่ พร้อมเพรียงกัน มาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท(ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป
ครั้งที่ ๗ เขมรและเกาะ ๖ เกาะ ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ พื้นที่ ๑๒๔,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๔ ฝรั่งเศสบังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดนเขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจากฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ ๑๕ มกราคม ๒๔๓๘ โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับการดำเนินนโยบายของ ร.๕ ที่ไปประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทยฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป
ครั้งที่ ๘ สิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๓๑ พื้นที่ ๘๗,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ ๕ พวกฮ่อ ก่อกบฏ ไทยจัดกำลังไปปราบ ๒ กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้วก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุดไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง(เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเมืองเชียงค้อ
ครั้งที่ ๙ ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ให้กับประเทศอังกฤษ
ใน สมัย รัชกาลที่ ๕ ในห้วงปี ๒๔๓๓ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
ครั้งที่ ๑๐ ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ พื้นที่ ๑๔๓,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๕
เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญาไทยกับฝรั่งเศส
เท่า นั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย ๑ ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก ๓ ล้านบาท และยังไม่พอฝรั่งเศสได้ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง ๑๕ ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขายเครื่อง แต่งกายเพื่อนำเงินมาถวาย ร.๕ เป็นค่าปรับ ร.๕ ต้องนำถุงแดง(เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้
ครั้งที่ ๑๑ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่าน,จำปาศักดิ์,มโนไพร)ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ พื้นที่ ๒๕,๕๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๕
ไทย ทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรีแล้วไปยึดเมืองตราดแทนอีก ๕ ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้วยังลุกล้ำย้านนาดี,ด่านซ้าน จ.เลย
และยังได้เอาศิลาจารึกที่พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย
ครั้งที่ ๑๒ มลฑลบูรพา(พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อปี ๒๔๔๙ พื้นที่ ๕๑,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕
ไทย ได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ ๖ กรกฎาคม ๒๔๕๐ กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย
ครั้งที่ ๑๓ รัฐกลันตัน,ตรังกานู,ไทรบุรี,ปริส ให้กับอังกฤษ เมื่อ ๓๐ มีนาคม ๒๔๕๑ พื้นที่ ๘๐,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕ ไทยได้ทำสัญญากับอังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในไทย
ครั้งที่ ๑๔ เขาพระวิหาร ให้กับเขมร
เมื่อ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ พื้นที่ ๒ ตร.กม. ในสมัย ร.๙
ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจากหลักฐานสำคัญของเขมร
ใน สมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเขาพระวิหาร จึงไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
ที่มา http://www.unigang.com/Article/4827
ประวัติพระพุทธศาสนา
ความหมาย
พระพุทธศาสนา (Buddhism) คือ ศาสนาที่ถือว่าธรรมะเป็นความจริงสากล ที่ใครก็ตามหากสิ้นกิเลสก็จะพลได้ด้วยตนเอง แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้ และสามารถตั้งพุทธบริษัทปัจจุบันขึ้นได้ คือ พระพุทธโคตม ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในบรรดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายที่ได้เคยตั้งพุทธบริษัทมาแล้ว และที่จะตั้งต่อไปในอนาคต ยังมีพระพุทธเจ้าอีกมากที่ตรัสรู้แต่ไม่มีบารมีพอให้ตั้งพุทธบริษัทได้ จึงให้ผลเฉพาะตัวเรียกว่า ปัจเจกพุทธเจ้า
จึงเห็นได้ว่า จากความสำนึกดังกล่าวข้างต้น ทำให้ชาวพุทธมีใจกว้าง เพราะถือเสียว่าธรรมะมิได้มีในพระพุทธศาสนาของพระโคตมเท่านั้น แต่คนดีทั้งหลายก็อาจจะพบธรรมะบางข้อได้ และแม้แต่ชาวพุทธเอง พระพุทธเจ้าก็ทรงปรารถนาให้แสวงหาและเข้าใจธรรมะด้วยตนเอง พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง คือ ผู้ช่วยเกื้อกูลให้แต่ละคนสามารถพึ่งตนเองในที่สุด "ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง" อาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนิกที่แท้จริง คือ ผู้ที่แสวงหาธรรมะด้วยตนเองและพบธรรมะด้วยตนเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พยายามพัฒนาธาตุพุทธะในตัวเอง
ลักษณะคำสอนของพระพุทธศาสนา
ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา คือ เป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ กล่าวคือ เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทั้งความเป็นจริงและข้อธรรมได้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ เช่น วิเคราะห์จิตได้ละเอียดลอออย่างน่าอัศจรรย์ใจ วิเคราะห์ธรรมะออกเป็นข้อ ๆ อย่างละเอียดสุขุมและประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบที่แน่นแฟ้น หากจะพยายามอธิบายธรรมะข้อใดสักข้อหนึ่ง ก็จะต้องอ้างถึงธรรมะข้ออื่นๆ เกี่ยวโยงไปทั้งระบบ วิธีการวิเคราะห์ธรรมะอย่างนี้ บางสำนักของศาสนาฮินดูได้เคยทำมาบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เด่นชัดอย่างธรรมะที่สอนกันในพระพุทธศาสนา จึงควรยกย่องได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ และเมื่อกล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาไม่สนใจด้านอื่นๆ ทั้งมิได้หมายความเลยไปถึงว่าศาสนาอื่นๆ ไม่รู้จักวิเคราะห์ หามิได้ ต้องการหมายเพียงแต่ว่าพระพุทธศาสนาเด่นกว่าศาสนาอื่นๆ ในด้านวิเคราะห์เท่านั้น และถ้าหากศาสนาต่างๆ จะพึ่งพาอาศัยกันและกันก็พระพุทธศาสนานี่แหละสามารถให้ตัวอย่างในการวิเคราะห์ข้อธรรมะได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะบริการด้านอื่นๆ ที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเด่นชัด เช่น ศาสนาพราหมณ์ในเรื่องจารีตพิธีกรรม ศาสนาอิสลามในเรื่องกฎหมาย เป็นต้น แต่ทั้งนี้แล้วแต่ว่าสมาชิกแต่ละคนของแต่ละศาสนาจะสนใจร่วมมือกันในทางศาสนามากน้อยเพียงใด
บ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
แม้ชาวพุทธจะมีความสำนึกว่า สัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีมาแล้วมากมายในอดีต และจะมีอีกมากมายต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม คำสอนของอดีตพระพุทธเจ้าไม่เหลือหลักฐานไว้ให้ศึกษาได้อีกแล้ว ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะมาในอนาคตก็ยังไม่มีใครรู้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันจึงมาจากคำสอนของพระพุทธโคตมแต่องค์เดียว คำสอนของนักปราชญ์อื่นๆ ทั้งในและนอกพระพุทธศาสนา อาจจะเสริมความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่ไม่อาจจะถือว่าเป็นบ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนไว้ว่า ความรู้ที่พระองค์ทรงรู้จากการตรัสรู้นั้นมีมากราวกับใบไม้ทั้งป่า แต่ที่พระองค์นำมาสอนสาวกนั้นมีปริมาณเทียบได้กับใบไม้เพียงกำมือเดียว พระองค์ไม่อาจจะสอนได้มากกว่าที่ได้ทรงสอนไว้ ดังนั้น หากมีปัญหาขัดแย้งเกิดขึ้น ให้ตกลงกันด้วยสังคายนา (ร้องร่วมกัน) คือ ประชุมและลงมติร่วมกัน ส่วนในเรื่องธรรมวินัยปลีกย่อย หากจำเป็นก็ให้ประชุมตกลงปรับปรุงได้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่งก็คือสังคายนา สังคายนาจึงกลายเป็นเครื่องมือให้เกิดการยอมรับร่วมกันในหมู่ผู้ยอมรับสังคายนาเดียวกัน แต่ก็เป็นทางให้เกิดการแตกนิกายโดยไม่ยอมรับสังคายนาร่วมกัน นิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้น เพราะการยอมรับสังคายนาต่างกัน และนิกายต่างกันนั้นก็ยอมรับคัมภีร์และอรรถกถาที่ใช้ตีความคัมภีร์ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธแม้จะต่างนิกายกันก็ถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน ทำบุญร่วมกันได้ และร่วมมือในกิจการต่างๆ ได้ ผู้ใดนับถือพระพุทธเจ้าและแม้จะนับถือสิ่งอื่นด้วย เช่น พระพรหม พระอินทร์ ไหว้เจ้า หรือภูตผีต่างๆ ก็ยังถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน มิได้มีความรังเกียจเดียดฉันกันแต่ประการใด ดังนั้น การที่จะมีบ่อเกิดเพิ่มเติมแตกต่างกันไปบ้าง ตราบใดที่ยังยอมรับพระไตรปิฎกร่วมกันเป็นส่วนมาก ก็ไม่ถือว่าต้องแตกแยกกัน
คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน สาวกผู้ได้เคยสดับฟังคำสั่งสอนของพระองค์จำนวน 500 รูป ก็ประชุมทำสังคายนากัน ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา ใกล้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ สอบปากคำกันอยู่ 7 เดือน จึงตกลงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นี่คือบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎก ต่อมาเมื่อมีปัญหาขัดแย้ง พระเถระผู้ใหญ่ก็ประชุมขจัดข้อขัดแย้งกัน เป็นสังคายนาต่อมาอีกหลายครั้ง จนได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทดังที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่นับว่าใกล้เคียงที่สุด
เนื่องจากภาษามคธที่ใช้บันทึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ครั้นกาลเวลาล่วงไปก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษาโบราณ ยากที่จะเข้าใจได้ทันทีสำหรับนักศึกษารุ่นหลังๆ จึงได้มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ชี้แจงความหมายเรียกว่า อรรถกถา เมื่อนักศึกษารู้สึกว่าอรรถกถายังไม่ชัดเจนก็มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ฎีกาขึ้นชี้แจงความหมาย และมีอนุฎีกาสำหรับชี้แจงความหมายของฎีกาอีกต่อหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะปัญหาก็นิพนธ์ชี้แจงเฉพาะปัญหาขึ้นเรียกว่า ปกรณ์ เหล่านี้ถือว่าเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่ทว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าพระไตรปิฎก เพราะถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ตีความ นักศึกษาจะเห็นกับบางคัมภีร์ และไม่เห็นด้วยกับบางคัมภีร์ก็ได้ ไม่ถือว่ามีความเป็นพุทธศาสนิกมากน้อยกว่ากันเพราะเรื่องนี้
นิกายมหายาน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้" (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) ทำให้เกิดมีปัญหาว่า แค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้พระภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับหลายสังคายนา มีกลุ่มที่แยกตัวทำสังคายนาต่างหาก เป็นการแตกแยกทางลัทธิและนิกาย และไม่ควรถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด ไม่อาจกำหนดได้แน่ชัดลงไปว่า พระพุทธศาสนานิกายมหายานเริ่มถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ที่แน่ชัดก็คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ (ศต.1 แห่งคริสต์ศักราช) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกองค์แรกของนิกายมหายาน ได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานลงมั่นคงในราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศ เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกของฝ่ายเถรวาท
ฝ่ายมหายานมิได้ปฎิเสธพระไตรปิฎก หากแต่ถือว่ายังไม่พอ เนื่องจากเกิดมีความสำนึกร่วมขึ้นมาว่า นามและรูปของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ ไม่อาจดับสูญ สิ่งที่ดับสูญไปโดยการเผาเป็นเพียงภาพมายา พระธรรมกายของพระองค์อันเป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังคงอยู่ต่อไป มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ปรากฏ กิเลสเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากได้ฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเมตตาบารมี พระโพธิสัตว์จึงมีมากมาย พระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมเสริมงานของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก เมื่อสำนึกเช่นนี้ ฝ่ายมหายานจึงมีคัมภีร์ในระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นอีกมากและอาจจะเพิ่มต่อไปได้อีก หากยอมรับหรือมีศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึกและการแสดงออกก็ย่อมจะผิดเพี้ยนกันออกไปได้ ทำให้มีลัทธิต่างๆ มากมายในนิกายมหายาน และอาจจะเกิดใหม่ต่อไปได้อีก แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าเกิดการแตกแยกในศาสนาหรือนิกาย เพราะทุกลัทธิย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนามหายาน ด้วยเหตุผลเช่นนี้แหละฝ่ายมหายานจึงภูมิใจว่านิกายของตนใจกว้าง เป็นยานใหญ่ สามารถบรรทุกคนได้มาก และบันดาลใจให้ผู้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญเมตตาบารมีได้อย่างกว้างขวาง อย่างที่มูลนิธิหัวเฉียวแห่งประเทศไทยพิสูจน์ตัวเองให้เห็นอยู่
การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนา
ผู้ใดสนใจคงได้ศึกษาตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนามาแล้วไม่มากก็น้อย จนพอจะสังเกตได้ว่า เมื่อกล่าวถึงธรรมะข้อใดในพระพุทธศาสนา ก็มักจะไม่กล่าวลอยๆ แต่จะต้องมีจำนวนเลขกำกับแสดงการวิเคราะห์หรือการจำแนกธรรมด้วยเสมอ เช่น อริยสัจ 4, มรรค 8, ศีล 5, ศีล 8, ศีล 10, ศีล 227, มงคล 38, กรรมฐาน 40, เจตสิก 52, จิต 89, จิต121 เป็นต้น
ให้สังเกตด้วยว่า การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนานั้นมิได้วิเคราะห์ชั้นเดียวแล้วจบ แต่มีการวิเคราะห์ต่อๆ ไปอีกหลายชั้นหลายเชิงเกี่ยวโยงกันทั้งหมด ไม่ใช่เหมือนสายโซ่ แต่เหมือนอวนผืนใหญ่ที่ตาทุกตาของอวนมีสายโยงถึงกันได้ทั้งหมด จะขอยกให้ดูเป็นตัวอย่างการศึกษาเท่านั้น เช่น การวิเคราะห์จิต และเจตสิก เป็นต้น ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการมองตน รู้ตน และพัฒนาตน ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ธรรมะเรื่องใดเพิ่มเติมอีกเท่าใดก็ได้ตามความต้องการ
ชีวประวัติของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ตรัสรู้ถึงปรินิพพานเป็นระยะเวลา 45 พรรษา พระองค์จาริกไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ในชมพูทวีปตอนเหนือ เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระองค์ พร้อมทั้งอบรมสาวกตั้งพุทธบริษัทขึ้นอย่างมั่งคั่ง ยากที่จะเรียงลำดับได้ว่าปีใดพระองค์เสด็จไป ณ ที่ใดและทรงสั่งสอนอะไรบ้าง เท่าที่นักวิจารณ์ได้พยายามวิจัยไว้พอจะเรียบเรียงได้ตามช่วงการเข้าพรรษาของพระองค์ในที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
พรรษาที่ 1 ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ณ คืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (กลางเดือน 6) 2 เดือนต่อมา คือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ (กลางเดือน 8) ทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ (คณะ 5 คน) ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ด้วยธรรมจักกัปปวัตนสูนร ต่อมาอีก 5 วันทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตร วันต่อมาได้พระยสเป็นสาวก ทรงจำพรรษาที่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐอุตรประเทศ)
พรรษาที่ 2 เสด็จเสนานิคม ในตำบลอุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ กับศิษย์ 1000 คน ตรัสอาทิตตปริยายสูตรที่คยาสีสะ เสด็จราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ กษัตริย์เสนิยะพิมพสารทรงถวายสวนเวฬุวันแต่พระสงฆ์ ได้สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก 2 เดือนต่อมา เสด็จกบิลพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธารามได้สาวกมากมาย เช่น นันทะ ราหุล อานนท์ อุบาลี เทวทัต และพระญาติอื่นๆ อนาถปิณฑิกะอาราธนาสู่กรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ถวายสวนเชตะวันแด่คณะสงฆ์ ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 3 นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 4 ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ
พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหัตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหินี ทรงบวชพระนางปชาบดีโคตมีและคณะเป็นภิกษุณี
พรรษาที่ 6 ทรงแสดงยมกปาฎิหาริย์ในกรุงาสวัตถี ทรงจำพรรษาบนภูเขามังกลุบรรพต
พรรษาที่ 7 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โปรดพระมารดาด้วยพระอภิธรรม
พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแคว้นภัคคะ ทรงจำพรรษาในสวนเภสกลาวัน
พรรษาที่ 9 ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี
พรรษาที่ 10 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกอย่างรุนแรง ทรงตักเตือนไม่เชื่อฟัง จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิเลยยกะ ช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา
พรรษาที่ 11 เสด็จกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
พรรษาที่ 12 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา เกิดความอดอยากรุนแรง
พรรษาที่ 13 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถึ ราหุลอุปสมบท
พรรษาที่ 15 เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ สุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางผ่าน
พรรษาที่ 16 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี
พรรษาที่ 17 เสด็จกรุงสาวัตถี กลับมาอาลวีและทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ 18 เสด็จอาลวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 19 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 20 โจรองคุลีมาลกลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ ทรงเริ่มบัญญัติพระวินัย
พรรษาที่ 21-44 ทรงยึดเอาเชตะวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์เผยแผ่และที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ โดยรอบ
พรรษาที่ 45 และสุดท้าย ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร มหาสุทัสนสูตร และชนวสภสูตร ความว่า พระเทวทัตปองร้ายพระพุทธเจ้าบริเวณเขาคิชฌกูฎใกล้กรุงราชคฤห์ ถึงกับพระบาทห้อโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวก วัสสการเข้าเผ้า เสด็จอัมพลัฎฐิกา นาลันทา และปาฎลิคามตามลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่โตมดิตถ์ เสด็จต่อไปยังโกฎิคาม นาทิคาม และเวสาลี ทรงพำนักในสวนของนางคณิกาอัมพปาลี เสด็จจำพรรษาที่เวฬุวัน ทรงเริ่มประชวร และ 3 เดือนต่อมาเสด็จสู่ปรินิพพานในเมืองกุสินาราแห่งแคว้นมัลละ
ที่มา http://www.dhammathai.org/buddhism/buddhismhistory.php
พระพุทธศาสนา (Buddhism) คือ ศาสนาที่ถือว่าธรรมะเป็นความจริงสากล ที่ใครก็ตามหากสิ้นกิเลสก็จะพลได้ด้วยตนเอง แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้ และสามารถตั้งพุทธบริษัทปัจจุบันขึ้นได้ คือ พระพุทธโคตม ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในบรรดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายที่ได้เคยตั้งพุทธบริษัทมาแล้ว และที่จะตั้งต่อไปในอนาคต ยังมีพระพุทธเจ้าอีกมากที่ตรัสรู้แต่ไม่มีบารมีพอให้ตั้งพุทธบริษัทได้ จึงให้ผลเฉพาะตัวเรียกว่า ปัจเจกพุทธเจ้า
จึงเห็นได้ว่า จากความสำนึกดังกล่าวข้างต้น ทำให้ชาวพุทธมีใจกว้าง เพราะถือเสียว่าธรรมะมิได้มีในพระพุทธศาสนาของพระโคตมเท่านั้น แต่คนดีทั้งหลายก็อาจจะพบธรรมะบางข้อได้ และแม้แต่ชาวพุทธเอง พระพุทธเจ้าก็ทรงปรารถนาให้แสวงหาและเข้าใจธรรมะด้วยตนเอง พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง คือ ผู้ช่วยเกื้อกูลให้แต่ละคนสามารถพึ่งตนเองในที่สุด "ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง" อาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนิกที่แท้จริง คือ ผู้ที่แสวงหาธรรมะด้วยตนเองและพบธรรมะด้วยตนเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พยายามพัฒนาธาตุพุทธะในตัวเอง
ลักษณะคำสอนของพระพุทธศาสนา
ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา คือ เป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ กล่าวคือ เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทั้งความเป็นจริงและข้อธรรมได้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ เช่น วิเคราะห์จิตได้ละเอียดลอออย่างน่าอัศจรรย์ใจ วิเคราะห์ธรรมะออกเป็นข้อ ๆ อย่างละเอียดสุขุมและประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบที่แน่นแฟ้น หากจะพยายามอธิบายธรรมะข้อใดสักข้อหนึ่ง ก็จะต้องอ้างถึงธรรมะข้ออื่นๆ เกี่ยวโยงไปทั้งระบบ วิธีการวิเคราะห์ธรรมะอย่างนี้ บางสำนักของศาสนาฮินดูได้เคยทำมาบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เด่นชัดอย่างธรรมะที่สอนกันในพระพุทธศาสนา จึงควรยกย่องได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ และเมื่อกล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาไม่สนใจด้านอื่นๆ ทั้งมิได้หมายความเลยไปถึงว่าศาสนาอื่นๆ ไม่รู้จักวิเคราะห์ หามิได้ ต้องการหมายเพียงแต่ว่าพระพุทธศาสนาเด่นกว่าศาสนาอื่นๆ ในด้านวิเคราะห์เท่านั้น และถ้าหากศาสนาต่างๆ จะพึ่งพาอาศัยกันและกันก็พระพุทธศาสนานี่แหละสามารถให้ตัวอย่างในการวิเคราะห์ข้อธรรมะได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะบริการด้านอื่นๆ ที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเด่นชัด เช่น ศาสนาพราหมณ์ในเรื่องจารีตพิธีกรรม ศาสนาอิสลามในเรื่องกฎหมาย เป็นต้น แต่ทั้งนี้แล้วแต่ว่าสมาชิกแต่ละคนของแต่ละศาสนาจะสนใจร่วมมือกันในทางศาสนามากน้อยเพียงใด
บ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
แม้ชาวพุทธจะมีความสำนึกว่า สัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีมาแล้วมากมายในอดีต และจะมีอีกมากมายต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม คำสอนของอดีตพระพุทธเจ้าไม่เหลือหลักฐานไว้ให้ศึกษาได้อีกแล้ว ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะมาในอนาคตก็ยังไม่มีใครรู้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันจึงมาจากคำสอนของพระพุทธโคตมแต่องค์เดียว คำสอนของนักปราชญ์อื่นๆ ทั้งในและนอกพระพุทธศาสนา อาจจะเสริมความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่ไม่อาจจะถือว่าเป็นบ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนไว้ว่า ความรู้ที่พระองค์ทรงรู้จากการตรัสรู้นั้นมีมากราวกับใบไม้ทั้งป่า แต่ที่พระองค์นำมาสอนสาวกนั้นมีปริมาณเทียบได้กับใบไม้เพียงกำมือเดียว พระองค์ไม่อาจจะสอนได้มากกว่าที่ได้ทรงสอนไว้ ดังนั้น หากมีปัญหาขัดแย้งเกิดขึ้น ให้ตกลงกันด้วยสังคายนา (ร้องร่วมกัน) คือ ประชุมและลงมติร่วมกัน ส่วนในเรื่องธรรมวินัยปลีกย่อย หากจำเป็นก็ให้ประชุมตกลงปรับปรุงได้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่งก็คือสังคายนา สังคายนาจึงกลายเป็นเครื่องมือให้เกิดการยอมรับร่วมกันในหมู่ผู้ยอมรับสังคายนาเดียวกัน แต่ก็เป็นทางให้เกิดการแตกนิกายโดยไม่ยอมรับสังคายนาร่วมกัน นิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้น เพราะการยอมรับสังคายนาต่างกัน และนิกายต่างกันนั้นก็ยอมรับคัมภีร์และอรรถกถาที่ใช้ตีความคัมภีร์ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธแม้จะต่างนิกายกันก็ถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน ทำบุญร่วมกันได้ และร่วมมือในกิจการต่างๆ ได้ ผู้ใดนับถือพระพุทธเจ้าและแม้จะนับถือสิ่งอื่นด้วย เช่น พระพรหม พระอินทร์ ไหว้เจ้า หรือภูตผีต่างๆ ก็ยังถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน มิได้มีความรังเกียจเดียดฉันกันแต่ประการใด ดังนั้น การที่จะมีบ่อเกิดเพิ่มเติมแตกต่างกันไปบ้าง ตราบใดที่ยังยอมรับพระไตรปิฎกร่วมกันเป็นส่วนมาก ก็ไม่ถือว่าต้องแตกแยกกัน
คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน สาวกผู้ได้เคยสดับฟังคำสั่งสอนของพระองค์จำนวน 500 รูป ก็ประชุมทำสังคายนากัน ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา ใกล้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ สอบปากคำกันอยู่ 7 เดือน จึงตกลงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นี่คือบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎก ต่อมาเมื่อมีปัญหาขัดแย้ง พระเถระผู้ใหญ่ก็ประชุมขจัดข้อขัดแย้งกัน เป็นสังคายนาต่อมาอีกหลายครั้ง จนได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทดังที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่นับว่าใกล้เคียงที่สุด
เนื่องจากภาษามคธที่ใช้บันทึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ครั้นกาลเวลาล่วงไปก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษาโบราณ ยากที่จะเข้าใจได้ทันทีสำหรับนักศึกษารุ่นหลังๆ จึงได้มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ชี้แจงความหมายเรียกว่า อรรถกถา เมื่อนักศึกษารู้สึกว่าอรรถกถายังไม่ชัดเจนก็มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ฎีกาขึ้นชี้แจงความหมาย และมีอนุฎีกาสำหรับชี้แจงความหมายของฎีกาอีกต่อหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะปัญหาก็นิพนธ์ชี้แจงเฉพาะปัญหาขึ้นเรียกว่า ปกรณ์ เหล่านี้ถือว่าเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่ทว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าพระไตรปิฎก เพราะถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ตีความ นักศึกษาจะเห็นกับบางคัมภีร์ และไม่เห็นด้วยกับบางคัมภีร์ก็ได้ ไม่ถือว่ามีความเป็นพุทธศาสนิกมากน้อยกว่ากันเพราะเรื่องนี้
นิกายมหายาน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้" (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) ทำให้เกิดมีปัญหาว่า แค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้พระภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับหลายสังคายนา มีกลุ่มที่แยกตัวทำสังคายนาต่างหาก เป็นการแตกแยกทางลัทธิและนิกาย และไม่ควรถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด ไม่อาจกำหนดได้แน่ชัดลงไปว่า พระพุทธศาสนานิกายมหายานเริ่มถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ที่แน่ชัดก็คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ (ศต.1 แห่งคริสต์ศักราช) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกองค์แรกของนิกายมหายาน ได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานลงมั่นคงในราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศ เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกของฝ่ายเถรวาท
ฝ่ายมหายานมิได้ปฎิเสธพระไตรปิฎก หากแต่ถือว่ายังไม่พอ เนื่องจากเกิดมีความสำนึกร่วมขึ้นมาว่า นามและรูปของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ ไม่อาจดับสูญ สิ่งที่ดับสูญไปโดยการเผาเป็นเพียงภาพมายา พระธรรมกายของพระองค์อันเป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังคงอยู่ต่อไป มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ปรากฏ กิเลสเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากได้ฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเมตตาบารมี พระโพธิสัตว์จึงมีมากมาย พระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมเสริมงานของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก เมื่อสำนึกเช่นนี้ ฝ่ายมหายานจึงมีคัมภีร์ในระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นอีกมากและอาจจะเพิ่มต่อไปได้อีก หากยอมรับหรือมีศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึกและการแสดงออกก็ย่อมจะผิดเพี้ยนกันออกไปได้ ทำให้มีลัทธิต่างๆ มากมายในนิกายมหายาน และอาจจะเกิดใหม่ต่อไปได้อีก แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าเกิดการแตกแยกในศาสนาหรือนิกาย เพราะทุกลัทธิย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนามหายาน ด้วยเหตุผลเช่นนี้แหละฝ่ายมหายานจึงภูมิใจว่านิกายของตนใจกว้าง เป็นยานใหญ่ สามารถบรรทุกคนได้มาก และบันดาลใจให้ผู้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญเมตตาบารมีได้อย่างกว้างขวาง อย่างที่มูลนิธิหัวเฉียวแห่งประเทศไทยพิสูจน์ตัวเองให้เห็นอยู่
การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนา
ผู้ใดสนใจคงได้ศึกษาตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนามาแล้วไม่มากก็น้อย จนพอจะสังเกตได้ว่า เมื่อกล่าวถึงธรรมะข้อใดในพระพุทธศาสนา ก็มักจะไม่กล่าวลอยๆ แต่จะต้องมีจำนวนเลขกำกับแสดงการวิเคราะห์หรือการจำแนกธรรมด้วยเสมอ เช่น อริยสัจ 4, มรรค 8, ศีล 5, ศีล 8, ศีล 10, ศีล 227, มงคล 38, กรรมฐาน 40, เจตสิก 52, จิต 89, จิต121 เป็นต้น
ให้สังเกตด้วยว่า การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนานั้นมิได้วิเคราะห์ชั้นเดียวแล้วจบ แต่มีการวิเคราะห์ต่อๆ ไปอีกหลายชั้นหลายเชิงเกี่ยวโยงกันทั้งหมด ไม่ใช่เหมือนสายโซ่ แต่เหมือนอวนผืนใหญ่ที่ตาทุกตาของอวนมีสายโยงถึงกันได้ทั้งหมด จะขอยกให้ดูเป็นตัวอย่างการศึกษาเท่านั้น เช่น การวิเคราะห์จิต และเจตสิก เป็นต้น ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการมองตน รู้ตน และพัฒนาตน ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ธรรมะเรื่องใดเพิ่มเติมอีกเท่าใดก็ได้ตามความต้องการ
ชีวประวัติของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ตรัสรู้ถึงปรินิพพานเป็นระยะเวลา 45 พรรษา พระองค์จาริกไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ในชมพูทวีปตอนเหนือ เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระองค์ พร้อมทั้งอบรมสาวกตั้งพุทธบริษัทขึ้นอย่างมั่งคั่ง ยากที่จะเรียงลำดับได้ว่าปีใดพระองค์เสด็จไป ณ ที่ใดและทรงสั่งสอนอะไรบ้าง เท่าที่นักวิจารณ์ได้พยายามวิจัยไว้พอจะเรียบเรียงได้ตามช่วงการเข้าพรรษาของพระองค์ในที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
พรรษาที่ 1 ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ณ คืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (กลางเดือน 6) 2 เดือนต่อมา คือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ (กลางเดือน 8) ทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ (คณะ 5 คน) ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ด้วยธรรมจักกัปปวัตนสูนร ต่อมาอีก 5 วันทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตร วันต่อมาได้พระยสเป็นสาวก ทรงจำพรรษาที่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐอุตรประเทศ)
พรรษาที่ 2 เสด็จเสนานิคม ในตำบลอุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ กับศิษย์ 1000 คน ตรัสอาทิตตปริยายสูตรที่คยาสีสะ เสด็จราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ กษัตริย์เสนิยะพิมพสารทรงถวายสวนเวฬุวันแต่พระสงฆ์ ได้สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก 2 เดือนต่อมา เสด็จกบิลพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธารามได้สาวกมากมาย เช่น นันทะ ราหุล อานนท์ อุบาลี เทวทัต และพระญาติอื่นๆ อนาถปิณฑิกะอาราธนาสู่กรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ถวายสวนเชตะวันแด่คณะสงฆ์ ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 3 นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 4 ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ
พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหัตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหินี ทรงบวชพระนางปชาบดีโคตมีและคณะเป็นภิกษุณี
พรรษาที่ 6 ทรงแสดงยมกปาฎิหาริย์ในกรุงาสวัตถี ทรงจำพรรษาบนภูเขามังกลุบรรพต
พรรษาที่ 7 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โปรดพระมารดาด้วยพระอภิธรรม
พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแคว้นภัคคะ ทรงจำพรรษาในสวนเภสกลาวัน
พรรษาที่ 9 ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี
พรรษาที่ 10 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกอย่างรุนแรง ทรงตักเตือนไม่เชื่อฟัง จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิเลยยกะ ช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา
พรรษาที่ 11 เสด็จกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
พรรษาที่ 12 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา เกิดความอดอยากรุนแรง
พรรษาที่ 13 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถึ ราหุลอุปสมบท
พรรษาที่ 15 เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ สุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางผ่าน
พรรษาที่ 16 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี
พรรษาที่ 17 เสด็จกรุงสาวัตถี กลับมาอาลวีและทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ 18 เสด็จอาลวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 19 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 20 โจรองคุลีมาลกลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ ทรงเริ่มบัญญัติพระวินัย
พรรษาที่ 21-44 ทรงยึดเอาเชตะวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์เผยแผ่และที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ โดยรอบ
พรรษาที่ 45 และสุดท้าย ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร มหาสุทัสนสูตร และชนวสภสูตร ความว่า พระเทวทัตปองร้ายพระพุทธเจ้าบริเวณเขาคิชฌกูฎใกล้กรุงราชคฤห์ ถึงกับพระบาทห้อโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวก วัสสการเข้าเผ้า เสด็จอัมพลัฎฐิกา นาลันทา และปาฎลิคามตามลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่โตมดิตถ์ เสด็จต่อไปยังโกฎิคาม นาทิคาม และเวสาลี ทรงพำนักในสวนของนางคณิกาอัมพปาลี เสด็จจำพรรษาที่เวฬุวัน ทรงเริ่มประชวร และ 3 เดือนต่อมาเสด็จสู่ปรินิพพานในเมืองกุสินาราแห่งแคว้นมัลละ
ที่มา http://www.dhammathai.org/buddhism/buddhismhistory.php
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ประวัตินโปเลียนมหาราช
นเลียน โบนาปาร์ต(Napoleon Bonaparte. ประสูติวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769 สวรรคต 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1821) ประสูติที่เกาะคอซิกา ซึ่งในตอนนโปเลียนประสูตินั้นเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส บรรพบุรุษของพระองค์เป็นพวก Ajaccio พระมารดาเลติเซียพระชนมายุ 19 ชันษา สวยงามและแข็งแรง พระบิดาคาร์โลพระชนมายุได้ 22 ชันษา เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นนักสู้ และเป็นทนายความ บรรพบุรุษมาจากครอบครัวที่เป็นอิตาเลียนถึง 2 ศตวรรษ พูดและแต่งกายเป็นอิตาเลียนกันทั้งครอบครัว เมื่อมีพระชนมายุได้ 9 ชันษา นโปเลียนทรงถูกส่งไปฝรั่งเศสเพื่อเรียนหนังสือกับจูเซปโจเซฟพี่ชาย นโปเลียนทรงเข้าเรียนที่ Royal Military School of Brienne ในชองปาญ(Champagn) เรียนโดยได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก เรียนอยู่ที่นี่ 5 ปี นโปเลียนทรงเป็นคนขี้อาย และค่อนข้างจะเก็บตัวเล็กน้อย นโปเลียนทรงสำเร็จออกมาเป็นนายทหารที่ Ecole Militaire ในกรุงปารีส ในขณะที่มีพระชนม์เพียง 16 ชันษา ในปี ค.ศ. 1785 พระองค์ทรงได้รับความขมขื่นพระทัยในบ้านเกิดเมืองนอนที่ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสก่อนที่จะทรงประสูติเพียงปีเดียวเรื่องราวที่ชาวเกาะคอร์ซิกาต้องต่อสู้เพื่อเอกราชของตนนั้นตรึงพระทัยนโปเลียนมาก เมื่อทรงเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยนั้น นโปเลียนชนมายุ 10 ชันษา พระองค์ได้รับความคับแค้นพระทัยเพราะเพื่อนฝูงล้อเลียนว่าเป็นคนบ้านนอก ตัวเล็กพูดไม่ชัด และเพราะทรงแค้นพระทัยที่ชาวเกาะคอร์ซิกาต้องพ่ายแพ้แก่ฝรั่งเศส นโปเลียนจึงหันไปมุทางการเรียนหนังสือ ทรงพระอักษรมาก เมื่อการปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1789 เกิดขึ้น ในหมู่นายทหารก็แบ่งเป็นพวกที่ภักดีต่อกษัตริย์ฝรั่งเศส กับพวกหนึ่งเป็นฝ่ายปฏิวัติ
นโปเลียนเข้าอยู่ฝ่ยปฏิวัติ เนื่องจากทรงฉลาดพอที่จะมองออกว่าผู้ชนะดีอย่างใด โดยทรงเขียนจดหมายถึงพี่ชายว่า “I see only one thing clear; I must keep on the right side of those who have been and can be my friends.” และได้ทรงพยายามให้คอร์ซิกากู้เอกราช โดยทรงพยายามที่จะเป็นผู้นำ แต่ทำไม่สำเร็จ นโปเลียนทรงเป็นร้อนตรีในนายทหารปืนใหญ่ และอยู่ในพรรคจาคอแบง(Jacobin) ทรงชอบการปฏิวัติ นโปเลียนทรงแสดงผลงานที่เยี่ยมยอดสำคัญๆหลายครั้ง เช่น การตีเมืองลูตอง(Toulon) จากกองทัพอังกฤษและการป้องกันสภาเวนชั่นที่ Tuileries palace ที่รัฐบาลฝ่ายปฏิวัติใช้เป็นที่ประชุมเอาไว้ได้ด้วยการสั่งให้ลูกน้องสาดกระสุนเข้าใส่ฝูงชนที่กลุ้มรุมเข้ามาจะทำร้ายที่เรียกว่า a whiff of grapeshot ความดีความชอบนี้ทำให้นโปเลียนทรงได้เลื่อนยศเป็นนายพลด้วยวัยเพียง 27 ปี และมีชื่อเสียงไปทั่วกรุงปารีส ทรงเป็นเพื่อนกับน้องชายของมกซิมิเลียน โรเบียสปีแอร์(Maximilien Robespierre. ค.ศ. 1758-1794) หัวหน้าของพรรคจาคอแบง ดังนั้นเมื่อโรเบียสปีแอร์ถูกกิโยตีนในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 นโปเลียนเลยเกือบถูกประหารชีวิต แต่ก็โชคดีที่ทรงติดคุกอยู่เพียง 2 ปี
เนื่องจากการที่นโปเลียนได้ติดพันแม่ม่ายลูกติด 2 คน[ลูกติดชื่อ อูแชน(Eugene) อายุ 14 ปี และออร์ตองส์(Hortense) อายุ 12 ปี] ซึ่งมีอายุ 33 ปี มากกว่าเขาถึง 6 ปี ชื่อโจเซฟฟิน โบอาเนส์(Josephine de Beauharnais. หรือชื่อเดิม Marie Josephe Rose Taschen De La, Pagerie. ค.ศ. 1763-1814) ทำให้พระองค์ได้เป็นที่รู้จักแก่พวกสมาชิกไดเร็คตอรี่(The Directory) ซึ่งปกครองประเทศฝรั่งเศสในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1795-เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1799 นโปเลียนได้อภิเษกกับโจเซฟฟินในปี ค.ศ. 1795 สภาชิกสภาไดเร็คตอรี่ได้เห็นความสามารถทางการทหารของนโปเลียนในปี ค.ศ. 1796 จึงได้แต่งตั้งให้นโปเลียนทรงเป็นแม่ทัพของฝรั่งเศสในการทำสงครามทางตอนเหนือของอิตาลีกับพวกกองทัพสัมพันธมิตรหลังวันอภิเษก 2 วัน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1796 ภายใน 1 ปี(ค.ศ. 1796-1797) นโปเลียนทรงสามารถขับกองทัพของออสเตรียออกไปได้ นโปเลียนทรงพยายามสร้างความก้าวหน้าให้กับพระองค์ด้วยการทรงไปทำการรบที่อียิปต์ ในปี ค.ศ. 1798 ซึ่ง ณ ที่อียิปต์นายทหารฝรั่งเศสชื่อบูชาด์(Bouchard) ได้นำศิลาจารึกโรเซตต้า(Rosetta Stone) มาด้วย ขณะที่นโปเลียนทรงอยู่ที่อียิปต์ พระองค์ทรงนำกองทหารที่รวบรวมไว้กลับปกรุงปารีสและได้ทรงเข้าทำการพวกสมาชิกสภาเสีย ได้ทรงประกาศยุบสภาด้วยในวันที่ 8 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1799 นโปเลียนทรงตั้งคณะกงสุลขึ่น 3 คน (three provisional consuls) เป็นผู้บริหารประเทศโดยทรงเป็นกงสุลอันดับหนึ่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1802 นโปเลียนทรงยุบตำแหน่งกงสุลอันดับ 2 และ 3 เสียในวันที่ 9 และ 10 พฤษภาคม และได้ตั้งพระองค์เองขึ้นดำรงตำแหน่งกงสุลอันดับหนึ่งตลอดชีวิต แต่ในปี ค.ศ. 1804 นโปเลียนได้ทรงยุบตำแหน่งกงสุลอันดับหนึ่งตลอดชีวิตและได้ทรงตั้งพระองค์เองเป็นจักรพรรดิ
ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1815-ปัจจุบัน เล่ม 1(ฉบับปรับปรุง) ,สุปราณี มุขวิชิต ,ม.เกษตรศาสตร์
พรรคสังคมนิยมชาตินิยม(นาซีเยอรมัน)
พรรคสังคมนิยมชาตินิยม(นาซีเยอรมัน) ( National Socialist German Workers' Party หรือเขียนเป็นภาษาเยอรมันว่า National Sozialistische Deutsche Arbeiter Partei ภายหลังเรียกสั้นๆว่า National Sozialist หรือ Nazi) หรือจักรวรรดิไรช์ที่สาม (The Third Reich) เป็นชื่อสามัญเรียกประเทศเยอรมนีสมัยที่ถูกปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ โดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
หัวหน้าพรรคสังคมนิยมชาตินิยมเยอรมัน หรือนาซีเยอรมัน ผู้ประกาศเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งแต่เดิมพรรคนาซีเป็นเพียงกลุ่มลัทธิทางการเมืองเล็กๆในเมืองมิวนิกที่มีแกนนำเพียง 7 คนเท่านั้น โดนมีนโยบายชาตินิยมและโจมตีลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน และเมื่อฮิตเลอร์ก้าวมาเป็นหัวหน้าพรรค ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีอยู่ภาวะตกต่ำถึงขีดสุดอันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาแวร์แซายส์ในฐานะผู้แพ้สงครามทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลจากหลาย ฝ่ายในเยอรมนี ทำให้ฮิตเลอร์และพรรคนาซีปลุกระดมก่อการปฏิวัติขึ้นในกรุงเบอร์ลิน แต่ทำการปฏิวัติไม่สำเร็จส่งผลให้แกนนำหลายคนถูกดำเนินคดีตัวฮิตเลอร์เองก็ถูกจับเข้าคุกเป็นเวลา 8 เดือน และเมื่อได้รับการปล่อยตัวเขาก็กลับมาเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองและรวบรวมพรรคนาซีขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนโยบายที่กู้เกียรติยศคืนให้แก่เยอรมันของฮิตเลอร์นั้นได้การตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างสูง อีกทั้งพรรคนาซีที่กลับมารวมตัวกันใหม่นี้ยังได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจาก
อีมิล เคอร์ดอร์ฟ (Emil Kirdof) เพื่อนนักธุรกิจที่ตัดสินใจร่วมเล่นการเมืองกับฮิตเลอร์ พรรคนาซีจึงมีฐานะที่มั่นคงขึ้นจนสามารถเช่า พระราชวังบาร์โลว์ (Barlow) เป็นสถานที่ทำการพรรคโดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น The Brow House ทำให้การดำเนินการของพรรคประสบความสำเร็จอย่างสูง
จนในที่สุดเมื่อฮิตเลอร์ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ (Fuhrer) เขาก็ได้นำพาประเทศเยอรมนีก้าวสู่การปกครองแบบเผด็จการภายใต้ลัทธินาซีโดยสมบูรณ์
เครื่องหมาย สวัสติกะ(Swastika) เป็นเครื่องหมายที่รู้จักไปทั่วโลกว่าเป็นสัญลักษณ์ของนาซีเยอรมัน แต่ที่จริง เครื่องหมาย สวัสติกะ นี้มีมานานแล้ว และเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของหลาย ประเทศโดยแต่ละประเทศก็จะใช้เครื่องหมายนี้ในความหมายต่าง กัน ซึ่งคำว่า สวัสติกะ มาจาก ภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า กงล้อแห่งชีวิต หรือ กงล้อแห่งพระอาทิตย์ ด้วย
ผู้ออกแบบเครื่องหมายนี้ให้แก่ ฮิตเลอร์ คือ ดร.เฟรเดอริค โครห์น ซึ่งเดิมเขาออกแบบให้เครื่องหมายหนุนไปทางขวาแต่ฮิตเลอร์ ไม่ชอบใจเลยหมุนไปทางซ้ายแทน สาเหตุที่ฮิตเลอร์นำเครื่องหมายนี้มาใช้เป็นสัญลักษณ์ของพรรคนาซีก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามสร้างภาพความยิ่งใหญ่ของเยอรมนีการเรียกความรักชาติและความจงรักภักดีต่อกองทัพ
การชุมนุมที่เนือร์นแบร์ก ค.ศ. 1935ฮิตเลอร์หันไปให้ความสนใจในด้านการต่างประเทศมากกว่านโยบายภายในประเทศ เป้าหมายหลักของเขาคือการยึดครองดินแดนทางตะวันออกไปจนถึงสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1935 การฟื้นฟูกำลังทหารในเยอรมนีเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการเกณฑ์ทหาร และการสร้างกองทัพอากาศ ทั้งยังได้รับอนุญาตให้มีกองเรือขนาด 35% ของราชนาวีอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1936 ฮิตเลอร์ยึดครองไรน์แลนด์โดยปราศจากปฏิกิริยารุนแรงจากพันธมิตรตะวันตก ซึ่งนับเป็นการขยายดินแดนครั้งแรกในสมัยนาซีเยอรมนี
ในปีเดียวกัน ฮิตเลอร์ได้ประกาศว่าเยอรมนีต้องพร้อมเข้าสู่สงครามในปี ค.ศ. 1940 พร้อมกับเริ่มแผนการสี่ปี อุตสาหกรรมหนักของเยอรมนีได้ลงนามในข้อตกลงผลิตอาวุธให้กับรัฐบาลขนานใหญ่ ทำให้เยอรมนีมีอาวุธจำนวนมากที่พร้อมเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่ฮิตเลอร์ประมาณว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะกินเวลาไม่นานนัก ทำให้อาวุธดังกล่าวไม่มีการผลิตเพื่อทดแทน
พรรคนาซีกับนโยบายประชานิยม กล่าวได้ว่าฮิตเลอร์กับพรรคนาซีของเขานั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของระบอบเผด็จการที่อยู่คู่กัน ฮิตเลอร์ได้นำระบบของทหารมาใช้ในพรรค เขาสร้างแรงสนับสนุนจากคนในชาติด้วยการใช้นโยบายประชานิยม เปิดการค้าให้เป็นแบบเสรีแต่ในขณะเดียวกันก็จำกัดรายจ่ายของรัฐ โดนรายจ่ายที่ฮิตเลอร์ทุ่มให้นั้นเป็นไปเพื่อการทหารและการจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในนามความช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น การสร้างทางหลวง การแก้ปัญหาคนว่างงาน ทั่วประเทศ การตั้งโรงงานรถโฟล์กสวาเก้น (Volkswagen) ซึ่งแปลว่ายานยนต์ของประชาชนและขายให้ประชาชนโดยถูก สร้างอาคารที่อยู่อาศัยราคาถูกสำหรับประชาชน(Wohnungbau) และนโยบายอื่นๆ ที่มีลักษณะเอื้ออาทร และที่เด่นที่สุดคือการยกเลิกจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามแก่ประเทศพันธมิตร แม้ว่าบรรยายกาศโดยรวมของเยอรมันในขณะนั้นเหมือนประเทศของกองทหารมากกว่าจะเปิดให้ประชาชนอยู่อย่างเสรี แต่ก็ต้องยอมรับว่าการบริหารงานของฮิตเลอร์นั้นสามารถสนองตอบต่อปัจจัย4 ของชาวเยอรมันได้ดีพอสมควร แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการที่ฮิตเลอร์ประกาศนำพาประเทศเยอรมันปฏิเสธต่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์และพยยามจะกู้เกียรติยศจากฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม ผผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกอีกครั้ง
แนวคิดการปกครองของนาซี การปกครองในนาซีเยอรมนีมีส่วนคล้ายกันมากกับการปกครองตามลัทธิฟาสซิสต์ ซึ่งได้ถือกำเนิดในอิตาลี ภายใต้การปกครองของเบนิโต มุสโสลินี ทว่าอย่างไรก็ตาม พรรคนาซีไม่เคยประกาศตนเองว่ายึดถือลัทธิฟาสซิสต์เลย ทั้งลัทธินาซีและลัทธิฟาสซิสต์ต่างก็เป็นแนวคิดทางการเมืองแบบนิยมทหาร ชาตินิยมและต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และการสร้างเสริมกำลังทหารของตัวเอง รวมไปถึงทั้งสองแนวคิดตั้งใจที่จะสร้างรัฐเผด็จการ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ลัทธินาซีแตกต่างจากลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี สเปนและโปรตุเกส นั่นคือ การกีดกันทางเชื้อชาติ แนวคิดนาซียังได้พยายามสร้างรัฐที่รวมอำนาจเข้าสู่บุคคลคนเดียวอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งไม่เหมือนกับลัทธิฟาสซิสต์ที่ได้ส่งเสริมการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่บุคคลคนเดียว แต่ยังคงอนุญาตให้ประชาชนมีเสรีภาพบางส่วนได้ ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้น คือ อิตาลียังคงเป็นการปกครองแบบราชาธิปไตยอยู่เช่นเดิม และพระมหากษัตริย์แห่งอิตาลีก็ยังคงหลงเหลืออำนาจที่มีอย่างเป็นทางการอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ลัทธินาซีไม่ค่อยมีอะไรเป็นของตัวเอง ฮิตเลอร์ได้ลอกแบบสัญลักษณ์ตามอย่างฟาสซิสต์อิตาลี (ส่วนเครื่องหมายสวัสดิกะลอกแบบมาจากอินเดีย) ทั้งยังรวมไปถึง การทำความเคารพแบบโรมันมาใช้เป็นการทำความเคารพฮิตเลอร์ และมีการใช้พวกที่แต่งตัวเหมือนกับทหารมาเป็นส่วนหนึ่งของพรรค (ในนาซีเยอรมนี คือ เอสเอ ส่วนในฟาสซิสต์อิตาลี คือ พวกเชิ้ตดำ) ฮิตเลอร์ยังได้ลอกการเรียก "ผู้นำของประเทศ" มาจากอิตาลีด้วย ("ฟือเรอร์" มีความหมายถึง ท่านผู้นำ ในนาซีเยอรมนี ส่วนในฟาสซิสต์อิตาลีใช้คำว่า "ดูเช่" (Duce ) ทั้งสองเป็นแนวคิดที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์มีแนวคิดที่จะทำสงคราม และยังสนับสนุนระบบเศรษฐกิจสายกลางระหว่างลัทธิทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ (เรียกว่า corporatism) พรรคนาซีปฏิเสธสัญลักษณ์แห่งลัทธิฟาสซิสต์ และยืนยันว่าตนยึดหลักตามแนวชาติสังคมนิยม แต่ว่า นักวิเคราะห์หลายท่านก็ยังจัดให้แนวคิดชาติสังคมนิยมให้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิฟาสซิสต์อยู่ดี
แนวคิดเผด็จการของพรรคนาซีนั้นเป็นไปตามหลักคำสอนของลัทธินาซี พรรคนาซีได้บอกแก่ชาวเยอรมันว่าความสำเร็จของชาติเยอรมนีในอดีตและประชากรชาวเยอรมันนั้นมีความเชื่อมโยงกับแนวคิดตามแบบชาติสังคมนิยม แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะยังไม่มีแนวคิดดังกล่าวก็ตาม การโฆษณาชวนเชื่อได้เพิ่มความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของแนวคิดของนาซี และสร้างความมีชื่อเสียงให้แก่ฟือเรอร์ ซึ่งก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ถูกวาดภาพให้เป็นอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพรรคนาซีและผู้ที่นำประเทศเยอรมนีให้พ้นภัย
เพื่อที่จะรักษาความสามารถที่จะสร้างรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ พรรคนาซีได้สร้างองค์กรของตัวเอง เป็นพวกที่แต่งตัวเหมือนกับทหาร คือ หน่วยเอสเอ หรือ "หน่วยวายุ" ซึ่งมีหน้าที่จัดการกับพวกหัวซ้ายจัด พวกประชาธิปไตย ชาวยิว และคู่แข่งอื่นๆ หรือกลุ่มทางการเมืองขนาดเล็ก ความป่าเถื่อนของหน่วยเอสเอได้สร้างความกลัวให้แก่พลเมืองของประเทศ ทำให้ชาวเยอรมันหวาดกลัวต่อการถูกลงโทษ ซึ่งบางครั้งถึงตาย ถ้าหากพวกเขาออกนอกลู่นอกทางที่พรรคนาซีได้วางเอาไว้ นอกจากนั้น หน่วยเอสเอยังได้มีส่วนช่วยในการดึงดูดเยาวชนที่แปลกแยกจากสังคมหรือว่างงานเข้าสู่พรรคนาซีอีกด้วย
"ปัญหาของชาวเยอรมัน" ตามที่มักถูกกล่าวถึงในการศึกษาของอังกฤษ ได้พุ่งเป้าไปยังการปกครองของเยอรมนีทางภาคเหนือและภาคกลางของทวีปยุโรป และเป็นแก่นสำคัญตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์เยอรมนี ตามหลัก "ตรรกวิทยา" ของการรักษาให้ชาวเยอรมันทำงานเบาๆ เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และได้ถูกส่งไปปั่นป่วนการสร้างรัฐโปแลนด์ขึ้นมาใหม่หลังจากนั้น โดยมีเป้าหมาย คือ ถ่วงน้ำหนักจำนวนมากในความพยายามที่จะสร้าง "ความลงตัวของเยอรมนี"
พรรคนาซียังได้มีความคิดของการสร้าง Großdeutschland หรือ เยอรมนีอันยิ่งใหญ่ และเชื่อว่าการรวมชาวเยอรมันเข้าด้วยกันเป็นประเทศเดียวจะเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะนำพาประเทศให้ประสบความสำเร็จ แรงสนับสนุนอย่างจริงจังของนาซีต่อแนวคิดเรื่องประชาชนซึ่งอยู่ในหลักการเยอรมนีอันยิ่งใหญ่นำไปสู่การขยายตัวของเยอรมนี ให้ความชอบธรรมและการสนับสนุนสำหรับจักรวรรดิไรช์ที่สามที่จะเดินหน้าใช้กำลังเข้าควบคุมดินแดนของเยอรมนีที่เคยสูญเสียไปในอดีต ที่มีประชากรที่ไม่ใช่เยอรมันอาศัยอยู่มาก หรืออาจเข้ายึดครองในดินแดนที่ชาวเยอรมันอาศัยเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว พรรคนาซีมักอ้างถึงแนวคิดของเยอรมนีที่เรียกว่า Lebensraum (พื้นที่อาศัย) ซึ่งกล่าวถึงความจำเป็นในการเพิ่มประชากรเยอรมัน เพื่อเป็นข้ออ้างในการขยายดินแดน
เป้าหมายที่สำคัญสำหรับพรรคนาซีได้แก่การยุบรวมเอาฉนวนโปแลนด์และนครเสรีดานซิกเข้าสู่จักรวรรดิไรช์ที่สาม ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งของนโยบายการแบ่งแยกเชื้อชาติของนาซี แผนการ Lebensraum มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันหลายประการ กล่าวคือ พรรคนาซีเชื่อว่ายุโรปตะวันออกควรจะเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมัน และประชาชนชาวสลาฟที่อยู่ในแผ่นดินของนาซีเยอรมนี พวกเขาเหล่านั้นจะถูกใช้เป็นแรงงานราคาถูกหรือถูกเนรเทศไปทางทิศตะวันออกต่อไป
การเหยียดผิวและเผ่าพันธุ์นิยม ถือได้ว่าเป็นลักษณะสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนาซีเยอรมนี พรรคนาซีได้รวมเอาแนวคิดต่อต้านเซมไมท์และต่อต้านคอมมิวนิสต์ และรวมไปถึงขบวนการหัวเอียงซ้ายข้ามชาติ และทุนนิยมตลาดสากลเช่นกัน ดังที่เป็นผลงานของ "พวกยิวที่สมรู้ร่วมคิด" ซึ่งยังได้หมายความรวมไปถึงขบวนการ อย่างเช่น "การปฏิวัติพวกต่ำกว่ามนุษย์ ยิว-บอลเชวิค" ผลที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากเกิดการโยกย้าย กักตัวและการสังหารชาวยิวและชาวโซเวียตอย่างเป็นระบบขนานใหญ่ตามแนวรบด้านตะวันออก ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปอย่างน้อย 11 ถึง 12 ล้านคน ในช่วงเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "การล้างชาติพันธุ์โดยนาซี"
การล่มสลายของนาซี หลังจากการเยอรมันยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ถือเป็นจุดจบของนาซีเยอรมันด้วย
การแบ่งแยกปกครองเยอรมนีเริ่มต้นขึ้นภายใต้การจัดตั้งสภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร และแบ่งเยอรมนีและกรุงเบอร์ลินออกเป็น 4 ส่วน ให้อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต โดยส่วนที่ปกครองโดยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมตัวกันเป็นเยอรมนีตะวันตก และส่วนที่สหภาพโซเวียตปกครองกลายมาเป็นเยอรมนีตะวันออก เยอรมนีทั้งสองเป็นสนามรบของสงครามเย็นในทวีปยุโรป ก่อนที่จะมีการรวมประเทศอีกครั้งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20
อ้างอิง:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B5#.E0.B8.A2.E0.B8.AD.E0.B8.A1.E0.B8.88.E0.B8.B3.E0.B8.99.E0.B8.99.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B8.A5.E0.B9.88.E0.B8.A1.E0.B8.AA.E0.B8.A5.E0.B8.B2.E0.B8.A2
หัวหน้าพรรคสังคมนิยมชาตินิยมเยอรมัน หรือนาซีเยอรมัน ผู้ประกาศเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งแต่เดิมพรรคนาซีเป็นเพียงกลุ่มลัทธิทางการเมืองเล็กๆในเมืองมิวนิกที่มีแกนนำเพียง 7 คนเท่านั้น โดนมีนโยบายชาตินิยมและโจมตีลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน และเมื่อฮิตเลอร์ก้าวมาเป็นหัวหน้าพรรค ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีอยู่ภาวะตกต่ำถึงขีดสุดอันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาแวร์แซายส์ในฐานะผู้แพ้สงครามทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลจากหลาย ฝ่ายในเยอรมนี ทำให้ฮิตเลอร์และพรรคนาซีปลุกระดมก่อการปฏิวัติขึ้นในกรุงเบอร์ลิน แต่ทำการปฏิวัติไม่สำเร็จส่งผลให้แกนนำหลายคนถูกดำเนินคดีตัวฮิตเลอร์เองก็ถูกจับเข้าคุกเป็นเวลา 8 เดือน และเมื่อได้รับการปล่อยตัวเขาก็กลับมาเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองและรวบรวมพรรคนาซีขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนโยบายที่กู้เกียรติยศคืนให้แก่เยอรมันของฮิตเลอร์นั้นได้การตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างสูง อีกทั้งพรรคนาซีที่กลับมารวมตัวกันใหม่นี้ยังได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจาก
อีมิล เคอร์ดอร์ฟ (Emil Kirdof) เพื่อนนักธุรกิจที่ตัดสินใจร่วมเล่นการเมืองกับฮิตเลอร์ พรรคนาซีจึงมีฐานะที่มั่นคงขึ้นจนสามารถเช่า พระราชวังบาร์โลว์ (Barlow) เป็นสถานที่ทำการพรรคโดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น The Brow House ทำให้การดำเนินการของพรรคประสบความสำเร็จอย่างสูง
จนในที่สุดเมื่อฮิตเลอร์ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ (Fuhrer) เขาก็ได้นำพาประเทศเยอรมนีก้าวสู่การปกครองแบบเผด็จการภายใต้ลัทธินาซีโดยสมบูรณ์
เครื่องหมาย สวัสติกะ(Swastika)
สัญลักษณ์ของนาซีเยอรมัน
เครื่องหมาย สวัสติกะ(Swastika) เป็นเครื่องหมายที่รู้จักไปทั่วโลกว่าเป็นสัญลักษณ์ของนาซีเยอรมัน แต่ที่จริง เครื่องหมาย สวัสติกะ นี้มีมานานแล้ว และเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของหลาย ประเทศโดยแต่ละประเทศก็จะใช้เครื่องหมายนี้ในความหมายต่าง กัน ซึ่งคำว่า สวัสติกะ มาจาก ภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า กงล้อแห่งชีวิต หรือ กงล้อแห่งพระอาทิตย์ ด้วย
ผู้ออกแบบเครื่องหมายนี้ให้แก่ ฮิตเลอร์ คือ ดร.เฟรเดอริค โครห์น ซึ่งเดิมเขาออกแบบให้เครื่องหมายหนุนไปทางขวาแต่ฮิตเลอร์ ไม่ชอบใจเลยหมุนไปทางซ้ายแทน สาเหตุที่ฮิตเลอร์นำเครื่องหมายนี้มาใช้เป็นสัญลักษณ์ของพรรคนาซีก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามสร้างภาพความยิ่งใหญ่ของเยอรมนีการเรียกความรักชาติและความจงรักภักดีต่อกองทัพ
นาซีรวมพล การรวมพลครั้งใหญ่ ก่อนจะลงสู่สนามรบในสงครามโลกครั้งที่2
(การชุมนุมที่เนือร์นแบร์ก)
ในปีเดียวกัน ฮิตเลอร์ได้ประกาศว่าเยอรมนีต้องพร้อมเข้าสู่สงครามในปี ค.ศ. 1940 พร้อมกับเริ่มแผนการสี่ปี อุตสาหกรรมหนักของเยอรมนีได้ลงนามในข้อตกลงผลิตอาวุธให้กับรัฐบาลขนานใหญ่ ทำให้เยอรมนีมีอาวุธจำนวนมากที่พร้อมเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่ฮิตเลอร์ประมาณว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะกินเวลาไม่นานนัก ทำให้อาวุธดังกล่าวไม่มีการผลิตเพื่อทดแทน
พรรคนาซีกับนโยบายประชานิยม กล่าวได้ว่าฮิตเลอร์กับพรรคนาซีของเขานั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของระบอบเผด็จการที่อยู่คู่กัน ฮิตเลอร์ได้นำระบบของทหารมาใช้ในพรรค เขาสร้างแรงสนับสนุนจากคนในชาติด้วยการใช้นโยบายประชานิยม เปิดการค้าให้เป็นแบบเสรีแต่ในขณะเดียวกันก็จำกัดรายจ่ายของรัฐ โดนรายจ่ายที่ฮิตเลอร์ทุ่มให้นั้นเป็นไปเพื่อการทหารและการจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในนามความช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น การสร้างทางหลวง การแก้ปัญหาคนว่างงาน ทั่วประเทศ การตั้งโรงงานรถโฟล์กสวาเก้น (Volkswagen) ซึ่งแปลว่ายานยนต์ของประชาชนและขายให้ประชาชนโดยถูก สร้างอาคารที่อยู่อาศัยราคาถูกสำหรับประชาชน(Wohnungbau) และนโยบายอื่นๆ ที่มีลักษณะเอื้ออาทร และที่เด่นที่สุดคือการยกเลิกจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามแก่ประเทศพันธมิตร แม้ว่าบรรยายกาศโดยรวมของเยอรมันในขณะนั้นเหมือนประเทศของกองทหารมากกว่าจะเปิดให้ประชาชนอยู่อย่างเสรี แต่ก็ต้องยอมรับว่าการบริหารงานของฮิตเลอร์นั้นสามารถสนองตอบต่อปัจจัย4 ของชาวเยอรมันได้ดีพอสมควร แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการที่ฮิตเลอร์ประกาศนำพาประเทศเยอรมันปฏิเสธต่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์และพยยามจะกู้เกียรติยศจากฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม ผผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกอีกครั้ง
แนวคิดการปกครองของนาซี การปกครองในนาซีเยอรมนีมีส่วนคล้ายกันมากกับการปกครองตามลัทธิฟาสซิสต์ ซึ่งได้ถือกำเนิดในอิตาลี ภายใต้การปกครองของเบนิโต มุสโสลินี ทว่าอย่างไรก็ตาม พรรคนาซีไม่เคยประกาศตนเองว่ายึดถือลัทธิฟาสซิสต์เลย ทั้งลัทธินาซีและลัทธิฟาสซิสต์ต่างก็เป็นแนวคิดทางการเมืองแบบนิยมทหาร ชาตินิยมและต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และการสร้างเสริมกำลังทหารของตัวเอง รวมไปถึงทั้งสองแนวคิดตั้งใจที่จะสร้างรัฐเผด็จการ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ลัทธินาซีแตกต่างจากลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี สเปนและโปรตุเกส นั่นคือ การกีดกันทางเชื้อชาติ แนวคิดนาซียังได้พยายามสร้างรัฐที่รวมอำนาจเข้าสู่บุคคลคนเดียวอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งไม่เหมือนกับลัทธิฟาสซิสต์ที่ได้ส่งเสริมการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่บุคคลคนเดียว แต่ยังคงอนุญาตให้ประชาชนมีเสรีภาพบางส่วนได้ ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้น คือ อิตาลียังคงเป็นการปกครองแบบราชาธิปไตยอยู่เช่นเดิม และพระมหากษัตริย์แห่งอิตาลีก็ยังคงหลงเหลืออำนาจที่มีอย่างเป็นทางการอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ลัทธินาซีไม่ค่อยมีอะไรเป็นของตัวเอง ฮิตเลอร์ได้ลอกแบบสัญลักษณ์ตามอย่างฟาสซิสต์อิตาลี (ส่วนเครื่องหมายสวัสดิกะลอกแบบมาจากอินเดีย) ทั้งยังรวมไปถึง การทำความเคารพแบบโรมันมาใช้เป็นการทำความเคารพฮิตเลอร์ และมีการใช้พวกที่แต่งตัวเหมือนกับทหารมาเป็นส่วนหนึ่งของพรรค (ในนาซีเยอรมนี คือ เอสเอ ส่วนในฟาสซิสต์อิตาลี คือ พวกเชิ้ตดำ) ฮิตเลอร์ยังได้ลอกการเรียก "ผู้นำของประเทศ" มาจากอิตาลีด้วย ("ฟือเรอร์" มีความหมายถึง ท่านผู้นำ ในนาซีเยอรมนี ส่วนในฟาสซิสต์อิตาลีใช้คำว่า "ดูเช่" (Duce ) ทั้งสองเป็นแนวคิดที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์มีแนวคิดที่จะทำสงคราม และยังสนับสนุนระบบเศรษฐกิจสายกลางระหว่างลัทธิทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ (เรียกว่า corporatism) พรรคนาซีปฏิเสธสัญลักษณ์แห่งลัทธิฟาสซิสต์ และยืนยันว่าตนยึดหลักตามแนวชาติสังคมนิยม แต่ว่า นักวิเคราะห์หลายท่านก็ยังจัดให้แนวคิดชาติสังคมนิยมให้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิฟาสซิสต์อยู่ดี
แนวคิดเผด็จการของพรรคนาซีนั้นเป็นไปตามหลักคำสอนของลัทธินาซี พรรคนาซีได้บอกแก่ชาวเยอรมันว่าความสำเร็จของชาติเยอรมนีในอดีตและประชากรชาวเยอรมันนั้นมีความเชื่อมโยงกับแนวคิดตามแบบชาติสังคมนิยม แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะยังไม่มีแนวคิดดังกล่าวก็ตาม การโฆษณาชวนเชื่อได้เพิ่มความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของแนวคิดของนาซี และสร้างความมีชื่อเสียงให้แก่ฟือเรอร์ ซึ่งก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ถูกวาดภาพให้เป็นอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพรรคนาซีและผู้ที่นำประเทศเยอรมนีให้พ้นภัย
เพื่อที่จะรักษาความสามารถที่จะสร้างรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ พรรคนาซีได้สร้างองค์กรของตัวเอง เป็นพวกที่แต่งตัวเหมือนกับทหาร คือ หน่วยเอสเอ หรือ "หน่วยวายุ" ซึ่งมีหน้าที่จัดการกับพวกหัวซ้ายจัด พวกประชาธิปไตย ชาวยิว และคู่แข่งอื่นๆ หรือกลุ่มทางการเมืองขนาดเล็ก ความป่าเถื่อนของหน่วยเอสเอได้สร้างความกลัวให้แก่พลเมืองของประเทศ ทำให้ชาวเยอรมันหวาดกลัวต่อการถูกลงโทษ ซึ่งบางครั้งถึงตาย ถ้าหากพวกเขาออกนอกลู่นอกทางที่พรรคนาซีได้วางเอาไว้ นอกจากนั้น หน่วยเอสเอยังได้มีส่วนช่วยในการดึงดูดเยาวชนที่แปลกแยกจากสังคมหรือว่างงานเข้าสู่พรรคนาซีอีกด้วย
"ปัญหาของชาวเยอรมัน" ตามที่มักถูกกล่าวถึงในการศึกษาของอังกฤษ ได้พุ่งเป้าไปยังการปกครองของเยอรมนีทางภาคเหนือและภาคกลางของทวีปยุโรป และเป็นแก่นสำคัญตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์เยอรมนี ตามหลัก "ตรรกวิทยา" ของการรักษาให้ชาวเยอรมันทำงานเบาๆ เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และได้ถูกส่งไปปั่นป่วนการสร้างรัฐโปแลนด์ขึ้นมาใหม่หลังจากนั้น โดยมีเป้าหมาย คือ ถ่วงน้ำหนักจำนวนมากในความพยายามที่จะสร้าง "ความลงตัวของเยอรมนี"
พรรคนาซียังได้มีความคิดของการสร้าง Großdeutschland หรือ เยอรมนีอันยิ่งใหญ่ และเชื่อว่าการรวมชาวเยอรมันเข้าด้วยกันเป็นประเทศเดียวจะเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะนำพาประเทศให้ประสบความสำเร็จ แรงสนับสนุนอย่างจริงจังของนาซีต่อแนวคิดเรื่องประชาชนซึ่งอยู่ในหลักการเยอรมนีอันยิ่งใหญ่นำไปสู่การขยายตัวของเยอรมนี ให้ความชอบธรรมและการสนับสนุนสำหรับจักรวรรดิไรช์ที่สามที่จะเดินหน้าใช้กำลังเข้าควบคุมดินแดนของเยอรมนีที่เคยสูญเสียไปในอดีต ที่มีประชากรที่ไม่ใช่เยอรมันอาศัยอยู่มาก หรืออาจเข้ายึดครองในดินแดนที่ชาวเยอรมันอาศัยเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว พรรคนาซีมักอ้างถึงแนวคิดของเยอรมนีที่เรียกว่า Lebensraum (พื้นที่อาศัย) ซึ่งกล่าวถึงความจำเป็นในการเพิ่มประชากรเยอรมัน เพื่อเป็นข้ออ้างในการขยายดินแดน
เป้าหมายที่สำคัญสำหรับพรรคนาซีได้แก่การยุบรวมเอาฉนวนโปแลนด์และนครเสรีดานซิกเข้าสู่จักรวรรดิไรช์ที่สาม ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งของนโยบายการแบ่งแยกเชื้อชาติของนาซี แผนการ Lebensraum มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันหลายประการ กล่าวคือ พรรคนาซีเชื่อว่ายุโรปตะวันออกควรจะเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมัน และประชาชนชาวสลาฟที่อยู่ในแผ่นดินของนาซีเยอรมนี พวกเขาเหล่านั้นจะถูกใช้เป็นแรงงานราคาถูกหรือถูกเนรเทศไปทางทิศตะวันออกต่อไป
การเหยียดผิวและเผ่าพันธุ์นิยม ถือได้ว่าเป็นลักษณะสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนาซีเยอรมนี พรรคนาซีได้รวมเอาแนวคิดต่อต้านเซมไมท์และต่อต้านคอมมิวนิสต์ และรวมไปถึงขบวนการหัวเอียงซ้ายข้ามชาติ และทุนนิยมตลาดสากลเช่นกัน ดังที่เป็นผลงานของ "พวกยิวที่สมรู้ร่วมคิด" ซึ่งยังได้หมายความรวมไปถึงขบวนการ อย่างเช่น "การปฏิวัติพวกต่ำกว่ามนุษย์ ยิว-บอลเชวิค" ผลที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากเกิดการโยกย้าย กักตัวและการสังหารชาวยิวและชาวโซเวียตอย่างเป็นระบบขนานใหญ่ตามแนวรบด้านตะวันออก ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปอย่างน้อย 11 ถึง 12 ล้านคน ในช่วงเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "การล้างชาติพันธุ์โดยนาซี"
การล่มสลายของนาซี หลังจากการเยอรมันยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ถือเป็นจุดจบของนาซีเยอรมันด้วย
การแบ่งแยกปกครองเยอรมนีเริ่มต้นขึ้นภายใต้การจัดตั้งสภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร และแบ่งเยอรมนีและกรุงเบอร์ลินออกเป็น 4 ส่วน ให้อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต โดยส่วนที่ปกครองโดยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมตัวกันเป็นเยอรมนีตะวันตก และส่วนที่สหภาพโซเวียตปกครองกลายมาเป็นเยอรมนีตะวันออก เยอรมนีทั้งสองเป็นสนามรบของสงครามเย็นในทวีปยุโรป ก่อนที่จะมีการรวมประเทศอีกครั้งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20
อ้างอิง:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B5#.E0.B8.A2.E0.B8.AD.E0.B8.A1.E0.B8.88.E0.B8.B3.E0.B8.99.E0.B8.99.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B8.A5.E0.B9.88.E0.B8.A1.E0.B8.AA.E0.B8.A5.E0.B8.B2.E0.B8.A2
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (20 เมษายน ค.ศ. 1889 – 30 เมษายน ค.ศ. 1945) เป็นนักการเมืองเยอรมนีสัญชาติออสเตรียโดยกำเนิด หัวหน้าพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ พรรคนาซี ฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ระหว่าง ค.ศ. 1933 ถึง 1945 และผู้เผด็จการของนาซีเยอรมนี (ตำแหน่ง ฟือแรร์อุนด์ไรช์สคันซแลร์) ตั้งแต่ ค.ศ. 1934 ถึง 1945 ฮิตเลอร์อยู่ ณ ศูนย์กลางของนาซีเยอรมนี สงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป และฮอโลคอสต์
ฮิตเลอร์เป็นทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งผู้ได้รับรางวัลมากมาย ต่อมา ฮิตเลอร์ได้เข้าร่วมพรรคกรรมกรเยอรมันใน ค.ศ. 1919 ซึ่งเป็นพรรคการเมืองก่อนหน้าพรรคนาซี ก่อนจะได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีใน ค.ศ. 1921 เขาพยายามก่อรัฐประหาร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า กบฏโรงเบียร์ ในเมืองมิวนิก เมื่อวันที่ 8-9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 แต่ล้มเหลว ฮิตเลอร์ถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งในระหว่างนั้นเองที่เขาเขียนบันทึกความทรงจำ ไมน์คัมพฟ์ (การต่อสู้ของข้าพเจ้า) หลังได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1924 เขาได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยการโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซาย และการเสนออุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน การต่อต้านยิว และการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ด้วยวาทศิลป์อันมีเสน่ห์ดึงดูดและการโฆษณาชวนเชื่อนาซี หลังได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 เขาเปลี่ยนสาธารณรัฐไวมาร์เป็นจักรวรรดิไรช์ที่สาม รัฐเผด็จการพรรคการเมืองเดียว ภายใต้อุดมการณ์นาซีอันมีลักษณะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จและอัตตาธิปไตย เป้าหมายของเขาคือ ระเบียบโลกใหม่ ที่ให้นาซีเยอรมนีครอบงำยุโรปภาคพื้นทวีปอย่างสมบูรณ์
นโยบายต่างประเทศและในประเทศของฮิตเลอร์มีความมุ่งหมายเพื่อยึดเลเบนสเราม์ ("พื้นที่อยู่อาศัย") เป็นของชาวเยอรมัน เขานำการสร้างเสริมกำลังอาวุธขึ้นใหม่และการบุกครองโปแลนด์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 อันนำไปสู่การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป
ภายในสามปีใต้การนำของฮิตเลอร์ กองทัพเยอรมันและพันธมิตรในยุโรปยึดครองดินแดนยุโรปและแอฟริกาเหนือส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี สถานการณ์ค่อยพลิกผันหลัง ค.ศ. 1941 กระทั่งกองทัพสัมพันธมิตรเอาชนะกองทัพเยอรมันใน ค.ศ. 1945 นโยบายความสูงสุดและที่กระตุ้นด้วยการถือชาติพันธุ์ของฮิตเลอร์ลงเอยด้วยการฆาตกรรมผู้คนนับ 17 ล้านคนอย่างเป็นระบบในจำนวนนี้เป็นชาวยิวเกือบหกล้านคน
ปลายสงคราม ระหว่างยุทธการเบอร์ลินใน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์แต่งงานกับเอวา บราวน์ ทั้งสองทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกกองทัพแดงจับตัว ร่างของทั้งสองถูกเผา
บรรพบุรุษ
อาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler) บิดาของฮิตเลอร์ เป็นบุตรนอกกฎหมายของมาเรีย แอนนา ชิคล์กรูเบอร์ (Maria Anna Schicklgruber) ดังนั้นชื่อบิดาจึงไม่ปรากฏในสูติบัตรของอาลัวส์ เขาใช้นามสกุลของมารดา[5][6] ใน ค.ศ. 1842 โยฮันน์ เกออร์ก ฮีดเลอร์ (Johann Georg Hiedler) สมรสกับมาเรีย หลังมาเรียเสียชีวิตใน ค.ศ. 1847 และโยฮันน์เสียชีวิตใน ค.ศ. 1856 อาลัวส์ได้รับการเลี้ยงดูโดยครอบครัวของโยฮันน์ เนโพมุค ฮีดเลอร์ พี่ชายของฮีดเลอร์ กระทั่ง ค.ศ. 1876 อาลัวส์จึงได้มาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และทะเบียนพิธีศีลจุ่มถูกนักบวชเปลี่ยนต่อหน้าพยานสามคน ระหว่างรอการพิจารณาที่เนือร์นแบร์กใน ค.ศ. 1945 ข้ารัฐการนาซี ฮันส์ ฟรังค์ เสนอการมีอยู่ของจดหมายที่อ้างว่า มารดาของอาลัวส์ได้รับการว่าจ้างเป็นแม่บ้านแก่ครอบครัวยิวในกราซ และว่า บุตรชายวัย 19 ปีของครอบครัวนั้น เลโอโปลด์ ฟรันเคนเบอร์เกอร์ (Leopold Frankenberger) เป็นบิดาของอาลัวส์อย่างไรก็ดี ไม่มีครอบครัวฟรันเคนเบอร์เกอร์ หรือชาวยิว ปรากฏในทะเบียนในกราซช่วงนั้น นักประวัติศาสตร์สงสัยการอ้างที่ว่า บิดาของอาลัวส์เป็นยิว[
เมื่อมีอายุได้ 39 ปี อาลัวส์เปลี่ยนไปใช้นามสกุล "ฮิตเลอร์" ซึ่งสามารถยังสะกดได้เป็น ฮีดเลอร์ (Hiedler), ฮึทเลอร์ (Hüttler, Huettler) ชื่อนี้อาจถูกใช้ตามระเบียบโดยเสมียนธุรการ ที่มาของชื่อดังกล่าวอาจหมายถึง "ผู้อาศัยอยู่ในกระท่อม" (เยอรมัน: Hütte), "คนเลี้ยงแกะ" (เยอรมัน: hüten; "เฝ้า") หรือมาจากคำภาษาสลาฟ ฮิดลาร์ และฮิดลาเร็คล
วัยเด็ก
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 ที่กัสทอฟ ซุม พอมแมร์ (Gasthof zum Pommer) โรงแรมแห่งหนึ่งในรันส์ฮอเฟน (Ranshofen)[ หมู่บ้านซึ่งถูกรวมเข้ากับเทศบาลเบราเนาอัมอินน์ (Braunau am Inn) จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ใน ค.ศ. 1938 เขาเป็นบุตรคนที่สี่จากทั้งหมดหกคนของอาลัวส์ ฮิตเลอร์และคลารา เพิลเซล (Klara Pölzl) พี่ทั้งสามคนของฮิตเลอร์ กุสตาฟ ไอดา และออทโท เสียชีวิตตั้งแต่เป็นทารก[13] เมื่อฮิตเลอร์อายุได้สามขวบ ครอบครัวของเขาย้ายไปพัสเซา เยอรมนี[14] ที่ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์มีสำเนียงท้องถิ่นแบบบาวาเรียล่างมากกว่าสำเนียงเยอรมันออสเตรีย และเป็นสำเนียงที่ฮิตเลอร์ใช้ตลอดชีวิตใน ค.ศ. 1894 ครอบครัวได้ย้ายอีกหนหนึ่งไปยังเลออนดิง ใกล้กับลินซ์ และต่อมา เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1895 อาลัวส์ได้เกษียณไปยังที่ดินเล็ก ๆ ที่ฮาเฟลด์ ใกล้ลัมบัค ที่ซึ่งเขาพยายามประกอบอาชีพกสิกรรมและเลี้ยงผึ้งด้วยตนเอง ฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนที่ฟิชล์ฮัม (Fischlham) ในละแวกใกล้เคียง ขณะที่ยังเป็นเด็ก ฮิตเลอร์กลายมาติดการสงครามหลังพบหนังสือภาพเกี่ยวกับสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียท่ามกลางบรรดาสมบัติส่วนตัวของบิดา
การย้ายไปยังฮาเลฟด์เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการเริ่มต้นความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพ่อลูก ซึ่งเกิดจากที่ฮิตเลอร์ปฏิเสธไม่เชื่อฟังกฎระเบียบอันเข้มงวดของโรงเรียนเขา ความพยายามทำกสิกรรมที่ฮาเฟลด์ของอาลัวส์สิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว และใน ค.ศ. 1897 ครอบครัวฮิตเลอร์ย้ายไปลัมบัค ฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนคาทอลิกแห่งหนึ่งในระเบียงฉันนบถเบเนดิกติน (Benedictine) คริสต์ศตวรรษที่ 11 ซึ่งที่บนธรรมาสน์นั้นมีสัญลักษณ์สวัสดิกะที่ถูกปรับให้เข้ากับแบบบนตราอาร์มของเทโอโดริช ฟอน ฮาเกน อดีตอธิการวัด ฮิตเลอร์วัยแปดขวบเข้าเรียนร้องเพลง ร่วมอยู่ในวงประสานเสียงของโบสถ์ และกระทั่ง วาดฝันว่าตนจะเป็นนักบวช ใน ค.ศ. 1898 ครอบครัวฮิตเลอร์กลับไปอาศัย ณ เลออนดิง อย่างถาวร การเสียชีวิตของเอ็ดมุนด์ น้องชาย ด้วยโรคหัด เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1900 กระทบต่อฮิตเลอร์อย่างลึกซึ้ง จากที่เคยเป็นเด็กที่มั่นใจ เข้าสังคม และเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยม ฮิตเลอร์เป็นเด็กอารมณ์ขุ่นมัว เฉยชา และบึ้งตึงที่มีปัญหากับบิดาและครูอย่างต่อเนื่อง
อาลัวส์ประสบความสำเร็จในอาชีพในสำนักงานศุลกากร และต้องการให้ลูกชายเจริญตามรอยเขาภายหลัง ฮิตเลอร์เล่าถึงช่วงนี้เกินความจริงเมื่อบิดาพาเขาไปชมที่ทำการศุลกากร โดยบรรยายว่า มันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การต่อต้านอย่างไม่อาจให้อภัยระหว่างพ่อลูกที่ต่างมีความตั้งใจแรงกล้าทั้งคู่ โดยละเลยต่อความต้องการของบุตรที่อยากเข้าศึกษายังโรงเรียนมัธยมคลาสสิกและจบมาเป็นศิลปิน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1900 อาลัวส์ส่งฮิตเลอร์ไปยังเรอัลชูเลอ (Realschule) ในลินซ์ฮิตเลอร์ขัดขืนต่อการตัดสินใจนี้ และใน ไมน์คัมพฟ์ ได้เปิดเผยว่า เขาเรียนได้เลวมากในโรงเรียน ด้วยหวังว่าเมื่อบิดาเห็นว่า "ฉันมีความคืบหน้าน้อยเพียงใดที่โรงเรียนอาชีวะ เขาจะปล่อยให้ฉันอุทิศตัวเองแก่ความใฝ่ฝันของฉัน
ฮิตเลอร์เริ่มหลงใหลในลัทธิชาตินิยมเยอรมันตั้งแต่เยาว์วัย ฮิตเลอร์แสดงความเคารพต่อเยอรมนีเท่านั้น แม้ราชวงศ์ฮับสบูร์กและการปกครองเหนือจักรวรรดิที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติจะเสื่อมลงก็ตาม[ฮิตเลอร์และเพื่อนของเขาใช้คำทักทายภาษาเยอรมัน "ไฮล์" และร้องเพลงชาติเยอรมัน "ดอยท์ชลันด์อือแบร์อัลเลส์" แทนเพลงชาติจักรวรรดิออสเตรีย
หลังการเสียชีวิตกะทันหันของอาลัวส์เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1903 พฤติกรรมของฮิตเลอร์ที่โรงเรียนอาชีวะยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก มารดาเขาอนุญาตให้เขาลาออกในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1905 เขาลงเรียนที่เรอัลชูเลอในสเทเยอร์ (Steyr) ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1904 พฤติกรรมและผลการเรียนของเขาแสดงถึงพัฒนาการเล็กน้อยและต่อเนื่องอยู่บ้างในฤดูไบ้ไม้ร่วง ค.ศ. 1905 หลังผ่านข้อสอบปลายภาค ฮิตเลอร์ก็ได้ออกจากโรงเรียนโดยไม่แสดงความทะเยอทะยานใด ๆ แก่การศึกษาต่อ หรือแผนที่ชัดเจนสำหรับอาชีพในอนาคต
วัยผู้ใหญ่ช่วงต้นในเวียนนาและมิวนิก
นับจาก ค.ศ. 1905 ฮิตเลอร์ได้ใช้ชีวิตแบบโบฮีเมี่ยนในเวียนนาด้วยเงินสงเคราะห์เด็กกำพร้าและการสนับสนุนจากมารดา เขาทำงานเป็นกรรมกรชั่วคราว และท้ายสุด เป็นจิตรกรขายภาพวาดสีน้ำ สถาบันวิจิตรศิลป์เวียนนาปฏิเสธเขาสองครั้ง ใน ค.ศ. 1907 และ 1908 เพราะ "ความไม่เหมาะสมที่จะวาดภาพ" ของเขา ผู้อำนวยการแนะนำให้ฮิตเลอร์เรียนสถาปัตยกรรม[36] แต่เขาขาดเอกสารแสดงวิทยฐานะวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1907 มารดาของเขาเสียชีวิตในวัย 47 ปี หลังสถาบันฯ ปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ก็หมดเงิน ใน ค.ศ. 1909 เขาอาศัยอยู่ในที่พักคนไร้ที่บ้าน และใน ค.ศ. 1910 เขาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านพักชายรับจ้างยากจนบนถนนเมลเดมันน์สทราเซอ[38] ขณะที่ฮิตเลอร์อยู่ที่นั่น เวียนนาเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อคติทางศาสนาและคตินิยมเชื้อชาติแบบคริสต์ศตวรรษที่ 19[39] ความกลัวว่าจะถูกผู้อพยพจากตะวันออกล่วงล้ำแพร่ขยาย และนายกเทศมนตรีประชานิยม คาร์ล ลือเกอร์ (Karl Lueger) ใช้วาทศิลป์เกลียดชังยิวรุนแรงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง คติเกลียดชังยิวรวมเยอรมันของเกออร์ก เชอเนเรอร์ (Georg Schönerer) มีผู้สนับสนุนอย่างแข็งแกร่งและฐานในย่านมาเรียฮิลฟ์ ที่ฮิตเลอร์อาศัยอยู่ฮิตเลอร์อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอย่าง ดอยท์เชส โฟลค์สบลัทท์ (Deutsches Volksblatt) ที่กระพืออคติและเล่นกับความกลัวของคริสเตียนว่าจะต้องแบกภาระจากการไหล่บ่าเข้ามาของยิวตะวันออก ความเป็นปรปักษ์ต่อสิ่งที่ฮิตเลอร์เห็นว่าเป็น "โรคกลัวเยอรมัน" ของคาทอลิก เขาจึงเริ่มยกย่องมาร์ติน ลูเธอร์
จุดกำเนิดและการแสดงออกครั้งแรกของฮิตเลอร์ต่อคติเกลียดชังยิวนั้นยากที่จะพบ ฮิตเลอร์เขียนใน ไมน์คัมพฟ์ ว่า เขาเกลียดชังยิวครั้งแรกในเวียนนา เพื่อนสนิทของฮิตเลอร์ อูกุสท์ คูบีเซค (August Kubizek) อ้างว่า ฮิตเลอร์เป็น "ผู้เกลียดชังยิวที่ยืนยันแล้ว" ตั้งแต่ก่อนเขาออกจากลินซ์บันทึกของคูบีเซคถูกนักประวัติศาสตร์ บรีจิทเทอ ฮามันน์ (Brigitte Hamann) เขียนโต้แย้ง เขาเขียนว่า "ในบรรดาพยานคนแรก ๆ ทั้งหมดที่สามารถเชื่อถือได้อย่างจริงจัง มีคูบีเซคคนเดียวที่บรรยายฮิตเลอร์วัยหนุ่มว่าเกลียดชังยิว และชัดเจนในประเด็นนี้ว่า เขาเชื่อถือไม่ค่อยได้"แหล่งข้อมูลหลายแหล่งให้หลักฐานหนักแน่นว่าฮิตเลอร์มีเพื่อนยิวในหอพักของเขาและในที่อื่นในเวียนนาฮามันน์ยังสังเกตว่า ฮิตเลอร์ไม่มีบันทึกความเห็นเกลียดชังยิวระหว่างช่วงนี้นักประวัติศาสตร์ เอียน เคอร์ชอว์ (Ian Kershaw) เสนอว่า หากฮิตเลอร์ได้ออกความเห็นเช่นนั้นจริง ความเห็นเหล่านั้นก็อาจไม่เป็นที่สังเกต เพราะคติเกลียดชังยิวที่มีอยู่ทั่วไปในเวียนนาขณะนั้น นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด เจ. อีแวนส์ ว่า "ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ส่วนมากยอมรับว่า คติเกลียดชังยิวอันฉาวโฉ่และการฆาตกรรม ต่อต้านยิว ของเขานั้น เกิดขึ้นหลังจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนี [ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง] อันเป็นผลของคำอธิบายมหันตภัยว่าเป็นเพราะ 'การแทงข้างหลัง' ประเภทหวาดระแวง"
ฮิตเลอร์ได้รับมรดกส่วนสุดท้ายจากทรัพย์สินของบิดาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1913 และย้ายไปมิวนิกนักประวัติศาสตร์เชื่อว่าฮิตเลอร์ย้ายออกจากเวียนนาเพื่อหลบเลี่ยงการเกณฑ์เข้าสู่กองทัพออสเตรียภายหลัง ฮิตเลอร์อ้างว่า เขาไม่ประสงค์จะรับใช้รัฐฮับส์บูร์กเพราะการผสมผสาน "เชื้อชาติ" ในกองทัพ หลังเขาถูกเห็นว่าไม่เหมาะสมกับราชการทหาร เพราะไม่ผ่านการตรวจร่างกายในซาลซ์บูร์กเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914 เขากลับไปยังมิวนิก
ความปราชัยและอสัญกรรม
จนถึงปลาย ค.ศ. 1944 กองทัพแดงได้ขับกองทัพเยอรมันถอยกลับไปยังยุโรปตะวันตก และสัมพันธมิตรตะวันตกกำลังรุกคืบเข้าไปในเยอรมนี หลังได้รับแจ้งความล้มเหลวของการรุกอาร์เดนเนสของเขา ฮิตเลอร์จึงตระหนักว่าเยอรมนีกำลังแพ้สงคราม ความหวังของเขา ซึ่งขึ้นอยู่กับการถึงแก่อสัญกรรมของแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์เมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 คือ การเจรจาสันติภาพกับอเมริกาและอังกฤษฮิตเลอร์สั่งการให้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมทั้งหมดของเยอรมนีก่อนที่จะตกอยู่ในมือฝ่ายสัมพันธมิตร โดยทำตามมุมมองของเขาที่ว่าความล้มเหลวทางทหารของเยอรมนีเสียสิทธิ์ในการอยู่รอดเป็นชาติ การดำเนินการแผนการเผาทุกสิ่งทุกอย่างนี้ถูกมอบหมายไปยังรัฐมนตรีอาวุธ อัลแบร์ท สเพร์ ผู้ขัดคำสั่งเขาอย่างเงียบ ๆ
วันที่ 20 เมษายน วันเกิดปีที่ 56 ของเขา ฮิตเลอร์เดินทางครั้งสุดท้ายจากฟือแรร์บุงเกอร์ ("ที่พักของฟือแรร์") ไปยังผิวโลก ในสวนที่ถูกทำลายของทำเนียบรัฐบาลไรช์ เขามอบกางเขนเหล็กให้ทหารเด็กแห่งยุวชนฮิตเลอร์ จนถึงวันที่ 21 เมษายน แนวรบเบลารุสที่ 1 ของเกออร์กี จูคอฟ ได้เจาะผ่านการป้องกันสุดท้ายของกองทัพกลุ่มวิสตูลาของพลเอก กอททาร์ด ไฮน์รีซี ระหว่างยุทธการที่ราบสูงซีโลว์ และรุกเข้าไปยังชานกรุงเบอร์ลินในการไม่ยอมรับเกี่ยวกับสถานการณ์อันเลวร้ายเพิ่มขึ้น ฮิตเลอร์ตั้งความหวังของเขาต่อหน่วย อาร์เมอับไทลุง สไทเนอร์ ("กองทหารสไทเนอร์") ภายใต้การบังคับบัญชาของนายทหารวัฟเฟน เอสเอส พลเอก เฟลิกซ์ สไทเนอร์ ฮิตเลอร์สั่งการให้สไทเนอร์โจมตีปีกด้านเหนือของส่วนที่ยื่นออกมา และกองทัพเยอรมันที่เก้าได้รับคำสั่งให้โจมตีไปทางเหนือในการโจมตีแบบก้ามปู (pincer attack)
ระหว่างการประชุมทหารเมื่อวันที่ 22 เมษายน ฮิตเลอร์ถามถึงการรุกของสไทเนอร์ หลังความเงียบเป็นเวลานาน เขาได้รับบอกเล่าว่า การโจมตีนั้นไม่เคยเกิดขึ้นและพวกรัสเซียได้ตีฝ่าเข้าไปในกรุงเบอร์ลิน ข่าวนี้ทำให้ฮิตเลอร์ขอให้ทุกคนยกเว้นวิลเฮล์ม ไคเทล, อัลเฟรด โจดล์, ฮันส์ เครบส์ และวิลเฮล์ม บูร์กดอร์ฟออกจากห้อง จากนั้น เขาได้ประณามต่อการทรยศและความไร้ความสามารถของผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างเผ็ดร้อน และลงเอยด้วยการประกาศเป็นครั้งแรกว่า เยอรมนีแพ้สงคราม ฮิตเลอร์ประกาศว่าเขาจะอยู่ในกรุงเบอร์ลินจนถึงจุดจบและจากนั้นยิงตัวตาย
เกิบเบลส์ได้ออกประกาศวันที่ 23 เมษายน กระตุ้นให้พลเมืองเบอร์ลินป้องกันนครอย่างกล้าหาญวันเดียวกันนั้น เกอริงส่งโทรเลขจากเบอร์ชเทสกาเดนในรัฐบาวาเรีย แย้งว่า ตั้งแต่ฮิตเลอร์ถูกตัดขาดในกรุงเบอร์ลิน ตัวเขาควรเป็นผู้นำเยอรมนีแทน เกอริงได้กำหนดเวลา หลังจากนั้นเขาจะพิจารณาว่าฮิตเลอร์ไร้ความสามารถ ฮิตเลอร์สนองด้วยความโกรธโดยสั่งจับกุมเกอริง และเมื่อเขียนพินัยกรรมเมื่อวันที่ 29 เมษายน เขาถอดเกอริงออกจากตำแหน่งทั้งหมดในรัฐบาล
กรุงเบอร์ลินได้มาถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง วันที่ 28 เมษายน ฮิตเลอร์พบว่า ฮิมม์เลอร์กำลังพยายามเจรจาเงื่อนไขการยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตรตะวันตก เขาจึงสั่งจับกุมฮิมม์เลอร์และสั่งยิงแฮร์มันน์ เฟเกไลน์ (ผุ้แทนเอสเอสของฮิมม์เลอร์ที่กองบัญชาการของฮิตเลอร์ในกรุงเบอร์ลิน)
หลังเที่ยงคืนวันที่ 29 เมษายน ฮิตเลอร์สมรสกับเอวา เบราน์ในพิธีตามกฎหมายเล็ก ๆ ในห้องแผนที่ภายในฟือแรร์บุงเกอร์ หลังทานอาหารเช้างานแต่งที่เรียบง่ายกับภรรยาใหม่ของเขา จากนั้น เขานำเลขานุการเทราดล์ จุนเกอ (Traudl Junge) ไปอีกห้องหนึ่งและบอกให้เขียนพินัยกรรมสุดท้ายของเขาเหตุการณ์ดังกล่าวมีฮันส์ เครบส์, วิลเฮล์ม บูร์กดอร์ฟ โจเซฟ เกิบเบิลส์ และมาร์ติน บอร์มันน์เป็นพยานและผู้ลงนามเอกสารในช่วงบ่าย ฮิตเลอร์ได้รับแจ้งถึงการลอบสังหารผู้เผด็จการชาวอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ซึ่งอาจเพิ่มความตั้งใจที่จะหนีการจับตัว
หน้าแรกของหนังสือพิมพ์ของทัพสหรัฐ สตาร์สแแอนด์สไตรพ์ วันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945
วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 หลังการสู้รบถนนต่อถนนอย่างเข้มข้น เมื่อกองทัพโซเวียตอยู่ในระยะหนึ่งหรือสองช่วงตึกจากทำเนียบรัฐบาลไรช์ ฮิตเลอร์และเบราน์ทำอัตวินิบาตกรรม เบราน์กัดแคปซูลไซยาไนด์ และฮิตเลอร์ยิงตัวตายด้วยปืนพกวัลเทอร์ เพเพคา (Walther PPK) 7.65 มม. ของเขา ร่างไร้วิญญาณของฮิตเลอร์และเอวา เบราน์ถูกนำขึ้นบันไดและผ่านทางออกฉุกเฉินของบังเกอร์ไปยังสวนที่ถูกระเบิดหลังทำเนียบรัฐบาลไรช์ ที่ซึ่งทั้งสองร่างถูกวางไว้ในหลุมระเบิด ราดด้วยน้ำมัน และจุดไฟ ขณะที่กองทัพแดงยิงปืนใหญ่ถล่มต่อเนื่อง
เบอร์ลินยอมจำนนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม บันทึกในจดหมายเหตุโซเวียต ซึ่งได้มาหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แสดงให้เห็นว่า ศพของฮิตเลอร์ เบราน์ โจเซฟและมักดา เกิบเบลส์ ลูก ๆ เกิบเบลส์ทั้งหกคน พลเอกฮันส์ เครบส์ และสุนัขของฮิตเลอร์ ถูกฝังและขุดขึ้นมาหลายครั้ง
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%9F_%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
สงครามครูเสด
สงครามครูเสด (The Crusades)
คือ สงครามระหว่างศาสนา ซึ่งอาจหมายถึงสงครามระหว่างชาวคริสต์ต่างนิกายด้วยกันเอง หรือชาวคริสต์กับผู้นับถือศาสนาอื่นก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่มักหมายถึงสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13
สงครามครูเสด เป็นสงครามศาสนาระหว่างชาวคริสต์จากยุโรป และ ชาวมุสลิม เนื่องจากชาวคริสต์ต้องการยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และ เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน
ในตอนเริ่มสงครามนั้นชาวมุสลิมปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ ดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญของสามศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และ คริสต์ ในปัจจุบันดินแดนแห่งนี้คือ ประเทศอิสราเอล หรือ ปาเลสไตน์
ชาวมุสลิมครอบครอง เมืองนาซาเรธ เบธเลเฮม และเมืองสำคัญทางศาสนาอีกหลายเมือง ในยุคของคอลีฟะหฺอุมัร (634-44) ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาและการเมืองของอาณาจักรอิสลามในยุคนั้น
บทสรุปของสงครามในครั้งนั้นคือกองทัพมุสลิมสามารถยึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากชาวคริสต์ได้ และขับไล่ผู้รุกรานต่างดินแดนออกไป ซึ่งยังคงดำรงชาติมุสลิมสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้
มีสงครามครูเสดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งมีสงครามใหญ่ๆเกิดขึ้นถึง 9 ครั้งในมหาสงครามครั้งนี้และยังมีสงครามย่อยๆเกิดอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น สงครามบางครั้งก็เกิดขึ้นภายในยุโรปเอง เช่น ที่สเปน และมีสงครามย่อยๆเกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่ 16 จนถึงยุค Renaissance และเกิด Reformation
สงครามครูเสดครั้งที่ 1 (1095-1101)
เริ่มต้นเมื่อปี1095 โดยพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II) แห่งกรุงโรม รวบรวมกองทัพชาวคริสต์ไปยังกรุงเยรูซาเลม ช่วงแรกกองทัพของปีเตอร์มหาฤาษี(Peter the Hermit) นำล่วงหน้ากองทัพใหญ่ไปก่อน ส่วนกองทัพหลักมีประมาณ 50,000 คนซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศฝรั่งเศส นำโดย โรเบิร์ตแห่งนอร์มังดีโอรสของวิลเลี่ยมผู้พิชิต
ในที่สุดเมื่อปี 1099 กองทัพก็เดินทางจากแอนติออคมาถึงกำแพงเมือง และยึดฐานที่มั่นใกล้กำแพงเข้าปิดล้อมเยรูซาเล็มไว้ กองกำลังมุสลิมที่ได้รับการขนานนามว่า ซาระเซ็น ได้ต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง ทว่าท้ายที่สุดนักรบครูเสดก็บุกฝ่าเข้าไป และฆ่าล้างทุกคนที่ไม่ใช่ชาวคริสต์กระทั่งชาวมุสลิมในเมืองหรือชาวยิวในสถานทางศาสนาก็ล้วนถูกฆ่าจนหมด เหลือเพียงผู้ปกครองเดิมในขณะนั้นซึ่งได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ แต่ทว่าข่าวการรบนั้นไม่อาจไปถึงพระสันตะปาปา เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันถัดมา
ผู้นำเหล่านักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับเลือกคือ ก็อดฟรีย์ แห่ง บูวียอง ซึ่งอยู่ในตำแหน่งนานหนึ่งปีจึงเสียชีวิต เดือนกรกฎาคมปี 1100 บอลด์วินจากเอเดสซาจึงขึ้นสืบเป็นกษัตริย์ พระองค์อภิเษกกับเจ้าหญิงอาร์เมเนีย แต่ไร้รัชทายาท พระองค์สวรรคตในปี 1118 ผู้เป็นราชนัดดานามบอลด์วินจึงครองราชย์เป็นกษัตริย์บอลด์วินที่ 2 แห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ มีราชธิดา 3 พระองค์ และที่น่าสนใจคือครั้งนี้บัลลังก์สืบทอดทางธิดาองค์โตหรือมเหสี และพระสวามีจะครองราชย์แทนกษัตริย์องค์ก่อน
สงครามครูเสดมีสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างทางความเชื่อในศาสนาแต่ละศาสนา จนทำให้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ถึงขั้นต้องทำสงครามเพื่อแย่งกันครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นเหตุผลทางการเมืองก็เป็นอีกสาเหตุของสงครามด้วย สงครามครูเสดได้คร่าชีวิตและทรัพย์สินของมนุษยชาติอย่างมากมายมหาศาลและบางส่วนของความขัดแย้งเหล่านั้นยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-5/no36-43/history/sec05p0402.htm
ปฏิวัติฝรั่งเศส
การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ยุโรป เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2332 - 2342 เป็นการปฏิวัติที่โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศส และสถาปนาสาธารณรัฐขึ้น. การปฏิวัตินี้มีความสำคัญ เพราะเป็นจุดหักเหในประวัติศาสตร์การปกครองของยุโรป.
สาเหตุของการปฏิวัติ อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. สาเหตุที่ฝังรากลึก หรือ Les causes profondes ได้แก่ สภาพทางสังคม, การบริหารประเทศที่ไม่ทันสมัย, และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
2. สภาพทางสังคม สมัยนั้นสังคมของฝรั่งเศสก่อนหน้าการปฏิวัตินั้น แบ่งได้เป็น 3 ฐานันดร คือ
ขุนนาง มีประมาณ 400,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มย่อย 3 กลุ่มคือ
ขุนนางโดยเชื้อสาย (La noblesse d'?p?e) สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางต่างๆ
ขุนนางรุ่นใหม่ (La noblesse de robe) ได้รับตำแหน่งจากการรับใช้พระมหากษัตริย์ มักจะมีความกระตือรือร้นที่จะได้รับการยอมรับจากสังคมเท่าขุนนางพวกแรก
ขุนนางท้องถิ่น (La noblesse de province) มีฐานะสู้ขุนนางสองประเภทแรกไม่ได้ มักจะโจมตีชนชั้นปกครองพวกอื่นเรื่องการเอาเปรียบสังคม
นักบวช มีประมาณ 115,000 คน ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก 2 กลุ่มคือ
นักบวชชั้นสูง เช่น มุขนายก พระคาร์ดินัล พวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราราวกับเจ้าชาย
นักบวชชั้นต่ำ ได้แก่พระสงฆ์ทั่วไป มีฐานะใกล้เคียงกับชนชั้นใต้ปกครอง โดยมากมีชีวิตค่อนข้างแร้นแค้น
ฐานันดรที่สาม (tiers ?tat) เป็นส่วนที่เหลือของประเทศ เช่น ชนชั้นกลางและชาวนา (ประมาณ 25.5 ล้านคนในสมัยนั้น)
สองฐานันดรแรกซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ถือครองที่ดินส่วนมากของประเทศ และมีตัวแทนอยู่ในรัฐสภา ทำให้ฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจเนื่องจากมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอยู่มาก
การบริหารประเทศที่ไม่ทันสมัย
ระบบการบริหารประเทศล้าหลัง ไม่เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เช่น การเก็บภาษีอย่างไม่เป็นระบบ (อัตราภาษีศุลกากรในแต่ละจังหวัดต่างกัน, การเก็บภาษีไม่ทั่วถึง, ประเภทภาษีล้าสมัย) ระบบกฎหมายยุ่งเหยิง (ส่วนเหนือของประเทศใช้กฎหมายจารีตประเพณีอย่างอังกฤษ, ส่วนใต้ใช้กฎหมายโรมัน) การยกเว้นภาษีให้สองฐานันดรแรกที่มีฐานะร่ำรวย ทำให้ฐานันดรที่สามที่มีฐานะยากจนอยู่แล้วต้องรับภาระภาษีของประเทศไว้ทั้งหมด เมื่อสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำสงครามสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จึงทรงรีดเอากับประชาชน ทำให้มีความเป็นอยู่แร้นแค้นยิ่งขึ้น อีกทั้งในยามสงบราชสำนักยังใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
ในยุคนั้นได้มีการตื่นตัวทางศีลธรรม นักเขียนเช่นวอลแตร์และรุสโซมีอิทธิพลต่อความคิดของปัญญาชนในยุคนั้น ความคิดของท่านเหล่านี้ได้จุดประกายเกี่ยวกับความเสมอภาคและเสรีภาพ ส่วนใหญ่เป็นแนวคิดแบบสุดโต่ง ทำให้เริ่มมีการไม่เห็นด้วยกับระบบการปกครองขึ้นอย่างเงียบ ๆ
สาเหตุจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบรวดเร็ว
สาเหตุจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบรวดเร็ว หรือ Les cause imm?diates มีสาเหตุหลักเริ่มต้นมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้น ก็ได้นำไปสู่ความไม่พอใจของคนในชนชั้นต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบ ก่อนจะลุกลามไปทั่วประเทศ และกลายเป็นการปฏิวัติในที่สุด
ในปี พ.ศ. 2319 ประเทศฝรั่งเศสมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอย่างหนัก เนื่องจากประเทศเป็นหนี้จากการกู้ยืมเงินมาใช้ในสงครามกู้อิสรภาพของสหรัฐฯ และไม่สามารถนำเงินมาชำระดอกเบี้ยได้ อีกทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นได้หยุดชะงักลงตั้งแต่ราว ๆ ปี พ.ศ. 2270 แล้ว
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทรงแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเป็นเสนาบดีการคลัง เช่น ตูร์โกต์, เนคเกร์, คาลอนน์ ท่านเหล่านี้ได้เรียกร้องให้พระเจ้าหลุยส์ทรงระงับสิทธิพิเศษในการงดเว้นภาษีของขุนนางและพระสงฆ์ แต่ได้ประสบกับการต่อต้านอย่างแข็งขันจากชนชั้นขุนนางที่ต้องการรักษาสิทธิพิเศษ ทำให้ภาระหนักตกอยู่กับราษฎรธรรมดาเช่นเดิม
การฟื้นฟูเศรษฐกิจตามแนวคิดของตูร์โกต์ เริ่มขึ้นเมื่อเขารับตำแหน่งเป็นเสนาบดีการคลังในปี พ.ศ. 2319 เขาเป็นผู้ที่นิยมนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรี เขาผลักดันให้มีการรวมศูนย์การเก็บภาษี เพื่อให้เป็นระบบและได้เม็ดเงิมเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น และให้มีการเปิดเสรีการค้า แต่ด้วยนโยบายที่เสรีของเขาทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้แก่ พระสงฆ์ ขุนนาง นำโดยพระมเหสีคือ พระนางมารี อองตัวเนตไม่พอใจ และพากันกดดันพระเจ้าหลุยส์ให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง เขาจึงถูกปลดหลังจากดำรงตำแหน่งได้ 2 ปี คือในปี พ.ศ. 2321
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสืบต่อจากเขา คือ เนคเกร์ เขาใช้นโยบายตัดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและขยายฐานภาษี ทำให้เก็บได้ทั่วถึงกว่าเดิม เขาทำหน้าที่ได้เป็นที่พอใจของประชาชน แต่ไปขัดผลประโยชน์ของชนชั้นสูงจึงถูกปลดออกในปี พ.ศ. 2324
ในปี พ.ศ. 2331 ได้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการเพาะปลูกไม่ได้ผล (ประเทศฝรั่งเศสสมัยนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม) ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนข้าวสาลี ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2329 ประเทศจำเป็นต้องหยุดการนำเข้าขนแกะและเสื้อผ้าจากสเปน. ประเทศจึงต้องนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากอังกฤษแทน. สินค้าจากอังกฤษได้เข้ามาตีตลาดฝรั่งเศส จนอุตสาหกรรมหลายอย่างของชาวฝรั่งเศสต้องปิดตัวลง ประชาชนไม่พอใจและเกิดความไม่มั่นใจต่อเสถียรภาพของประเทศ
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่อจากเนคเกร์คือ คาลอนน์ เขาดำเนินการตามแผนที่ปรับปรุงมาจากการดำเนินงานของตูร์โกต์ โดยเขาได้ยกเลิกภาษีโบราณบางประเภท และได้สร้างภาษีที่ดินแบบใหม่โดยทุกคนที่ถือครองที่ดินจะต้องเสีย เขาได้ทำการเรียกประชุมสภา l'assembl?e des notables เพื่อให้อนุมัติภาษีใหม่นี้ แต่สภาไม่ยอม คาลอนน์ถูกปลดในปี พ.ศ. 2330
ความขัดแย้งระหว่างสภา (ประกอบด้วยฐานันดรขุนนาง) และรัฐบาลเลวร้ายลงจนกลายเป็นความวุ่นวาย พวกขุนนางได้ขอให้พระเจ้าหลุยส์เรียกประชุมสภา les ?tats g?n?raux ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนชนชั้นขุนนาง พระสงฆ์ และประชาชนทั่วไป รวมทั้งผู้ก่อความวุ่นวายที่ทำให้ประเทศอยู่ในภาวะอนาธิปไตยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ขึ้น เพื่อบีบบังคับพระเจ้าหลุยส์ให้ทำตามความต้องการของพวกขุนนาง โดยใช้มติของสภานี้กดดันพระองค์
Les ?tats g?n?raux
ในปี พ.ศ. 2331 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เรียกประชุมสภา les ?tats g?n?raux ซึ่งมีการประชุมครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2157 ก่อนหน้าการประชุม ได้มีการถวายฎีกาทั่วประเทศ มีการควบคุมและห้ามการเผยแพร่ใบปลิวที่มีเนื้อหาเสรีจนน่าจะเป็นอันตราย เนคเกร์ที่ถูกเรียกกลับมาดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2331 ได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มจำนวนตัวแทนจากชนชั้นที่ 3 ให้มากขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะจำนวนตัวแทนในขณะนั้นมีน้อยเกินไป และเขายังเรียกร้องให้ปลดตัวแทนบางส่วนจากชนชั้นที่ 1 และ 2 อีกด้วย
สภา les ?tats g?n?raux ได้มีการประชุมที่พระราชวังแวร์ซายส์ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2332 การประชุมครั้งนี้ใช้ระบบลงคะแนนคือ 1 ฐานันดรต่อ 1 เสียง ซึ่งไม่ยุติธรรม เพราะฐานันดรที่สามซึ่งมีจำนวนถึง 90% ของประชากรกลับได้คะแนนเสียงเพียง 1 ใน 3 ของสภา และวิธีการลงคะแนนนี้จะทำให้ฐานันดรที่สามไม่มีทางมีเสียงเหนือกว่า 2 ฐานันดรแรก โดยเสนอให้ลงคะแนนแบบ 1 คน 1 เสียงแทน เมื่อข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ ทำให้ตัวแทนฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงไม่เข้าร่วมการประชุม และไปตั้งสภาของตนเองเรียกว่า Assembl?e Nationale ซึ่งเปิดประชุมเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปีเดียวกัน. สภานี้ยังมีตัวแทนจากฐานันดรที่ 1, 2 บางส่วนเข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ตัวแทนส่วนใหญ่ของชนชั้นนักบวช และตัวแทนที่เป็นขุนนางหัวสมัยใหม่นำโดยมิราโบ
สภา Assembl?e Nationale นี้ประกาศว่าสภาของตนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขึ้นภาษี เนื่องจากไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ ที่สนับสนุนแต่ขุนนางและพระสงฆ์ พระเจ้าหลุยส์พยายามหาทางประนีประนอมโดยเสนอว่าจะจัดประชุมสภา les ?tats g?n?raux ขึ้นอีกครั้งพวกขุนนางและพระสงฆ์ตอบตกลง แต่สมาชิกสภา Assembl?e Nationale ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุม โดยไปจัดการประชุมของตัวเองขึ้นที่สนามเทนนิส (สมัยนั้นเรียกว่า Jeu de paume) ในวันที่ 20 มิถุนายน โดยมีมติว่าจะไม่ยุบสภานี้จนกว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้รัฐธรรมนูญ
เปิดฉากการปฏิวัติ
หลังจากที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกกดดันจากกองทัพ พระองค์ก็ทรงเรียกร้องให้ตัวแทนจาก 2 ฐานันดรแรกเข้าร่วมประชุมสภา Assembl?e Nationale ด้วยเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดสภาใหม่ในวันที่ 9 กรกฎาคมคือ Assembl?e Nationale Constituante เพื่อร่างรัฐธรรมนูญ
การยึดคุกบาสตีย์
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าหลุยส์ก็ได้รับการกดดันอีกครั้งจากพระนางมารี อองตัวเนต และพี่ชายของพระเจ้าหลุยส์คือ Comte d'Artois ซึ่งจะได้เป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่สิบในอนาคต ทำให้พระองค์ทำการเรียกกองทหารที่จงรักภักดีต่อพระองค์จากต่างประเทศเข้ามาประจำการในกรุงปารีสและพระราชวังแวร์ซายส์ ทำให้เกิดความโกรธแค้นในหมู่ประชาชน นอกจากนี้พระเจ้าหลุยส์ยังทรงปลดเนคเกร์ลงจากตำแหน่งอีกครั้ง ทำให้ประชาชนออกมาก่อจราจลเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม และยึดคุกบาสตีย์ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์พระราชอำนาจของกษัตริย์ได้ในวันที่ 14 กรกฎาคม
หลังจากนั้นพระเจ้าหลุยส์ก็เรียกเนคเกร์มาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม เนคเกร์ได้พบกับประชาชนที่ศาลาว่าการกรุงปารีส (l'H?tel de Ville) ซึ่งถูกประดับไปด้วยธงสามสีคือแดง ขาว น้ำเงิน วันเดียวกันนั้น Comte d'Artois ก็ได้หนีออกนอกประเทศ ถือเป็นสมาชิกราชวงศ์คนแรก ๆ ที่หนีออกนอกประเทศในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส
หลังจากนั้นไม่นาน เทศบาลและกองกำลังติดอาวุธของประชาชน (Garde Nationale) ก็ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างรีบเร่งโดยประชาชนชาวปารีส โดยในไม่ช้าทั่วประเทศก็มีกองกำลังติดอาวุธของประชาชนตามอย่างกรุงปารีส กองกำลังนี้อยู่ใต้การบัญชาการของนายพลเดอลาฟาแยตต์ ซึ่งท่านผู้นี้เคยร่วมรบในสงครามกู้อิสรภาพของสหรัฐอเมริกามาก่อน เมื่อพระเจ้าหลุยส์เห็นว่าทหารต่างชาติไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้ ก็ทรงปลดประจำการทหารเหล่านั้น
การยุติสิทธิพิเศษต่าง ๆ
สภา Assemble Nationale ได้ประกาศว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และล้มเลิกสิทธิการงดเว้นภาษีของคณะสงฆ์ รวมทั้งให้ทุกคนมีโอกาสในการประกอบอาชีพทุกอย่างเท่าเทียมกัน ภายหลังจากการลงมติของสภาฯ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คือวันที่ 3-4 สิงหาคม 2332 ซึ่งได้รับมติสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากสมาชิกสภา
คำประกาศสิทธิของมนุษย์และพลเมือง หรือ La d?claration des droits de l'homme et du citoyen
เป็นคำประกาศที่ปูทางไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปรัชญารู้แจ้ง(Enlightened)ซึ่งเป็นปรัชญาที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น และคำประกาศนี้ได้แบบอย่างจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ คำประกาศนี้ผ่านการพิจารณาของสภาฯ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2332 มีเนื้อหาหลักแสดงถึงหลักการพื้นฐานของการปฏิวัติ ภายใต้คำขวัญที่ว่า "เสรีภาพ,เสมอภาค,ภราดรภาพ"
ในขณะนั้นมีข่าวลือในหมู่ประชาชนว่าจะมีการยึดอำนาจคืนของฝ่ายนิยมระบอบเก่าเมื่อชาวปารีสรู้ข่าวก็มีการตื่นตัวกันขนานใหญ่ ดังนั้นประชาชนชาวปารีสซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง ได้เดินขบวนไปยังพระราชวังแวร์ซายส์และเชิญพระเจ้าหลุยส์พร้อมทั้งราชวงศ์มาประทับในกรุงปารีส ในวันที่ 5-6 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่อนุรักษ์นิยมตามเสด็จกลับกรุงปารีสด้วย
สำหรับสภา Assembl?e Nationale ในขณะนั้นประกอบด้วยสมาชิกที่หัวก้าวหน้าเป็นส่วนมาก แต่มีภารกิจสำคัญอันดับแรกของสภาคือการดำรงสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ ดังนั้นจึงยังไม่มีการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในขณะนั้น
การปฏิรูปครั้งใหญ่
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสมีผลบังคับใช้เมื่อปลายปี พ.ศ. 2332 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
ตำแหน่งต่าง ๆ ในราชการไม่สามารถตกทอดไปยังลูกหลาน
จังหวัดต่าง ๆ ถูกยุบ, ประเทศถูกแบ่งเป็น 83 เขต (d?partements) ศาลประชาชนถูกก่อตั้งขึ้น มีการปฏิรูปกฎหมายของฝรั่งเศส การเวนคืนที่ธรณีสงฆ์ แล้วนำมาค้ำประกันพันธบัตร ที่ออกเพื่อระดมทุนจากประชาชน มาแก้ไขปัญหาหนี้ของประเทศ
การปฏิรูปสถานะของพระสงฆ์
นอกจากที่ธรณีสงฆ์จะถูกเวนคืนแล้ว การปกครองของคณะสงฆ์ในประเทศฝรั่งเศสก็ยังถูกเปลี่ยนแปลง ตามกฎหมายการปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่ที่ออกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2333 โดยใช้การปกครองประเทศเป็นแม่แบบ คือกำหนดจำนวนสังฆราช (?v?que) ไว้เขต (d?partement) ละ 1 ท่าน และให้เมืองใหญ่แต่ละเมืองมีอัครสังฆราช (arch?v?que) 1 ท่าน โดยสังฆราชและอัครสังฆราชแต่ละท่านจะถูกเลือกโดยสภา Assembl?e Nationale และได้รับเงินเดือนจากรัฐบาล นอกจากนี้ ผู้ที่จะมาเป็นพระสงฆ์ในทุกระดับจะต้องสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อประเทศอีกด้วย
การจับกุม ณ วาเรนน์
มีข่าวลือสะพัดอย่างหนาหูว่า พระนางมารี อองตัวเนตนั้น ได้แอบติดต่อกับพี่ชายของพระองค์ คือจักรพรรดิลีโอโปลด์ที่ 2 แห่งออสเตรีย เพื่อที่จะให้จักรพรรดิยกทัพมาโจมตีฝรั่งเศสและคืนอำนาจให้ราชวงศ์ แพระเจ้าหลุยส์]]นั้นไม่ได้พยายามหนีออกนอกประเทศหรือรับความช่วยเหลือ แต่จะทรงหนีไปตั้งมั่นอยู่กับนายพลบุยเล่ ที่จงรักภักดีและสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังทุยเลอรีส์ในตอนกลางคืนของวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2334 แต่ทรงถูกจับได้ที่เมืองวาเรนน์ ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2334 ส่งผลให้ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพระองค์นั้นลดลงอย่างมาก พระองค์ถูกนำตัวกลับมากักบริเวณในกรุงปารีส
การสิ้นสุดของสภาร่างรัฐธรรมนูญ
แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสภาฯ จะนิยมระบอบประชาธิปไตยโดยให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ มากกว่าระบอบสาธารณรัฐก็ตาม แต่ ณ ขณะนั้น พระเจ้าหลุยส์ก็ไม่ได้มีบทบาทมากไปหว่าหุ่นเชิด พระองค์ถูกบังคับให้บฏิญาณตนต่อรัฐธรรมนูญ และให้ยอมรับเงื่อนไขที่ว่า เมื่อพระองค์กระทำการกระทำใดๆที่จะชักนำให้กองทัพต่างชาติมาโจมตีฝรั่งเศส หรือ กระทำสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าพระองค์สละราชสมบัติโดยอัตโนมัติ
ขณะเดียวกันนั้น ฌอง ปิแอร์ บริสโซต์ ได้ร่างประกาศโจมตีพระเจ้าหลุยส์ มีสาระสำคัญว่า พระเจ้าหลุยส์ทรงสละราชสมบัติไปตั้งแต่พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังทุยเลอรีส์แล้ว ฝูงชนจำนวนมากพยายามเข้ามาใน ชอง เดอ มาร์ส เพื่อลงนามในใบประกาศนั้น ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ขอร้องให้เทศบาลปารีสช่วยรักษาความสงบ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุด กองทหารองครักษ์ ภายใต้การบัญชาการของลาฟาแยตต์ ก็ได้เข้ามารักษาความสงบ ฝูงชนได้ปาก้อนหินใส่องครักษ์ ในช่วงแรก องครักษ์โต้ตอบด้วยการยิงขึ้นฟ้า แต่ไม่สำเร็จ จึงจำต้องยิงปืนใส่ฝูงชน ทำให้ประชาชนตายไปประมาณ 50 คน
หลังจากการสังหารหมู่ครั้งนี้ ทางการก็ได้ดำเนินการปราบปรามพวกสมาคมนิยมสาธารณรัฐต่างๆ รวมทั้งหนังสือพิมพ์ของพวกนี้อีกด้วย หนังสือพิมพ์เพื่อนประชาชน (l'ami du peuple) ของมาราต์ บุคคลที่มีแนวคิดแบบนี้เช่น มาราต์และเดสมูแลงต่างพากันหลบซ่อน ส่วนดังตงหนีไปอังกฤษ
ขณะที่ภายในฝรั่งเศสกำลังวุ่นวาย เหล่าราชวงศ์ของยุโรป โดยมีแกนนำคือกษัตริย์แห่งปรัสเซีย จักรพรรดิออสเตรีย และพระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ ก็ได้ร่วมมือกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือให้พระเจ้าหลุยส์มีอิสรภาพสมบูรณ์และให้ยุบสภา Assembl?e Nationale หากสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น ก็จะโจมตีฝรั่งเศสเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย แต่ประชาชนชาวฝรั่งเศสไม่สนใจต่อคำประกาศดังกล่าว และเตรียมการต่อต้านอย่างแข็งขัน โดยส่งกำลังทหารไปยังชายแดน
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-5/no36-43/history/sec05p0101.html
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
สภาวะโลกร้อน (Global Warming)
สภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ภาวะโลกร้อน คือ การที่ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากภาวะเรือน กระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ว่า Green house effect ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จาก การเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่ง และ การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนั้น มนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน ( CFC) เข้าไปอีก ด้วย พร้อมๆกับการที่เราตัดและทำลาย ป่าไม้จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวย ความสะดวกให้แก่มนุษย์ ทำให้กลไกใน การดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป จากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิ ภาพลง และในที่สุดสิ่งต่างๆที่เราได้กระทำ ต่อโลกได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของ ภาวะโลกร้อน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน
ซี่งปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจก
ที่มา http://www.dol.go.th/sms/interesting.htm
ภาวะโลกร้อน คือ การที่ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากภาวะเรือน กระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ว่า Green house effect ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จาก การเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่ง และ การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนั้น มนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน ( CFC) เข้าไปอีก ด้วย พร้อมๆกับการที่เราตัดและทำลาย ป่าไม้จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวย ความสะดวกให้แก่มนุษย์ ทำให้กลไกใน การดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป จากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิ ภาพลง และในที่สุดสิ่งต่างๆที่เราได้กระทำ ต่อโลกได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของ ภาวะโลกร้อน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน
ซี่งปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจก
ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ 6 ชนิด ที่จะต้องลดการปล่อยได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2) ก๊าซมีเทน ( CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ( N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน ( HFCS) ก๊าซเปอร์ฟลูโรคาร์บอน ( CFCS) และก๊าซซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ ( SF6 )
ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน
1. ผลกระทบด้านนิเวศวิทยา
แถบขั้วโลกได้รับผลกระทบมากสุดและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งจะละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลทางขั้วโลกเพิ่มขึ้น และไหลลงสู่ทั่วโลกทำให้เกิดน้ำท่วมได้ทุก ทวีป นอกจากนี้จะพลอยทำให้สัตว์ทางทะเลเสียชีวิตเพราะระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง
ส่วนทวีปยุโรป ยุโรปใต้ภูมิประเทศจะกลายเป็นพื้นที่ลาดเอียงเกิดความแห้งแล้ง ในหลายพื้นที่ปัญหาอุทกภัยจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากธารน้ำแข็งบนบริเวณยอดเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะจะละลายจนหมด
ขณะที่เอเชียอุณหภูมิจะสูงขึ้นเกิดฤดูกาลที่แห้งแล้ง มีน้ำท่วม ผลิตผลทางอาหารลดลง ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นสภาวะอากาศ แปร ปรวนอาจทำให้เกิดพายุต่าง ๆ มากมายเข้าไปทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งปัจจุบันก็เห็นผลกระทบได้ชัดไม่ว่าจะเป็นใต้ฝุ่นกก
แต่แถบทวีปอเมริกาเหนืออุตสาหกรรมการผลิตอาหารจะได้รับผลประโยชน์เนื่องจากอากาศที่อุ่นขึ้น พร้อม ๆ กับทุ่งหญ้าใหญ่ของแคนาดาและทุ่งราบใหญ่สหรัฐอเมริกา
นักวิจัยได้มีการคาดประมาณอุณหภูมิผิวโลกในอีก 100 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2643 ว่า อุณหภูมิจะสูงขึ้นจากปัจจุบันราว 4.5 องศาเซลเซียส เนื่องจากคาดการณ์ว่า จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงร้อยละ 63 และก๊าซมีเทนร้อยละ 27 ของก๊าซเรือนกระจก
สำหรับประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียส ในช่วง 40 ปี อย่างไรก็ตาม
หากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 2- 4 องศาเซลเซียส จะทำให้พายุไต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทาง เกิดความรุนแรง
และมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ในอนาคต นอกจากนี้ ฤดูร้อนจะขยายเวลายาวนานขึ้น ในขณะที่ฤดูหนาวจะสั้นลง
2. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
รัฐที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ของทวีปอเมริกาจะได้รับผลจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกัดกร่อนชายฝั่ง จะสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศ แนวปะการังจะถูกทำลาย ปลาทะเลประสบปัญหา เนื่องจากระบบนิเวศที่แปรเปลี่ยนไป ธุรกิจท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญจะสูญเสียรายได้มหาศาล
นอกจากนี้ ในเอเชียยังมีโอกาสร้อยละ 66-90 ที่อาจเกิดฝนกระหน่ำและมรสุมอย่างรุนแรง รวมถึงเกิดความแห้งแล้งในฤดูร้อนที่ยาวนาน ทั้งนี้ ในปี 2532-2545 ประเทศไทยเกิดความเสียหาย จากอุทกภัย พายุ และภัยแล้ง คิดเป็นมูลค่าเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 70,000 ล้านบาท
รายงาน " Global Deserts Outlook" ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ชี้ว่า ภายใน 50 ปีข้างหน้า ระบบนิเวศวิทยาทะเลทราย จะเปลี่ยนแปลงไปทั้งด้านชีววิทยา เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ปัจจุบันพืชและสัตว์ทะเลทราย คือแหล่งทรัพยากรมีคุณค่าสำหรับผลิตยาและธัญญาหารใหม่ๆ
ที่ทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำและยังมีช่องทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เช่น การทำฟาร์มกุ้งและบ่อปลาในทะเลทรายรัฐอาริโซนาและทะเลทรายเน เจฟในอิสราเอล
อย่างไรก็ตาม ทะเลทรายที่มีอยู่ 12 แห่งทั่วโลก กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เรื่องการขยายตัว แต่เป็นความแห้งแล้งเนื่องจากโลกร้อน ธารน้ำแข็งซึ่งส่งน้ำมาหล่อเลี้ยงทะเลทรายในอเมริกาใต้กำลังละลาย น้ำใต้ดินเค็มขึ้น รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งหากไม่มีการลงมือป้องกันอย่างทันท่วงที ระบบนิเวศวิทยาและสัตว์ป่าในทะเลทรายจะสูญหายไปภายใน 50 ปีข้างหน้า
ในอนาคตประชากร 500 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในเขตทะเลทรายทั่วโลกจะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เพราะอุณหภูมิสูงขึ้นและน้ำถูกใช้จนหมดหรือเค็มจนดื่มไม่ได้
3. ผลกระทบด้านสุขภาพ
ภาวะโลกร้อนไม่เพียง ทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไปแต่มีสิ่งซ่อนเร้นที่แอบแฝงมาพร้อม ปรากฏการณ์นี้ด้วยว่าโลกร้อนขึ้นจะสร้างสภาวะที่พอเหมาะพอควรให้เชื้อโรคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
โลกร้อนขึ้นจะก่อให้เกิด สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฟักตัวของเชื้อโรคและศัตรูพืช ที่เป็นอาหารของมนุษย์บางชนิด โรคที่ฟักตัวได้ดีในสภาพร้อนชื้นของโลก จะสามารถเพิ่มขึ้นมากในอีก 20 ปีข้างหน้า ทั้งจะมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในโรคมาลาเรีย ไข้ส่า อหิวาตกโรค และอาหารเป็นพิษนักวิทยาศาสตร์ในที่ประชุมองค์การอนามัยโลก และ London School of Hygiene and Tropical Medicine วิทยาลัยศึกษาด้านสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนของอังกฤษ แถลงว่า ในแต่ละปีประชาชนราว 160,000 คนเสียชีวิตเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ตั้งแต่โรคมาลาเรีย ไปจนถึงการขาดแคลนสุขอนามัยที่ดี และตัวเลขผู้เสียชีวิตนี้อาจเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวในอีก 17 ปีข้างหน้า แถลงการณ์ของคณะแพทย์ระดับโลกระบุว่า เด็กในประเทศกำลังพัฒนาจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด เช่นในประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะต้องเผชิญกับการแพร่ขยายของการขาดแคลนสุขอนามัยโรคท้องร่วง และโรคมาเลเรีย ท่ามกลางอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น น้ำท่วม และภัยแล้ง
จะป้องกันได้อย่างไร ได้มีผู้แนะนำวิธีการช่วยป้องกันสภาวะโลกร้อนไว้ดังนี้
1. ลดระดับการใช้งานเครื่องใช้ ไฟฟ้าลง เช่น เพิ่มความร้อนของเครื่องปรับอากาศในสำนักงานหรือที่พักอาศัยลงสักหนึ่งองศา หรือ ปิดไฟขณะไม่ใช้ งาน
2. นำกระดาษหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ กลับไปใช้ใหม่ พยายามซื้อสิ่งของที่มีอายุ การใช้งานนานๆ จะช่วยลดการใช้พลังงานของโลกอย่างมากมาย
3. รักษาป่าไม้ให้ได้มากที่สุด และลดหรืองดการจัดซื้อสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ ต่างๆ ที่ทำจากไม้ที่ตัดเอามาจากป่า เพื่อปล่อยให้ต้นไม้และป่าไม้เหล่านี้ได้ทำหน้าที่การ เป็นปอดของโลกสืบไป
4. ลดการใช้น้ำมัน จากการขับขี่ยวดยานพาหนะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)