การปฏิวัติภายใต้การนำของเหล่า " คณะราษฎร " ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. เป็นการยึดอำนาจการปกครองประเทศจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบต่อไป
เราคงเคยได้ยินคำว่า ปฏิวัติ กบฏ และรัฐประหารมาบ้างเเล้ว หลายคนไม่รู้ว่าคำ 3 คำนี้แตกต่างกันอย่างไร ก่อนอื่นจึงต้องให้ความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้กันก่อน
เริ่มจาก คำว่า ปฏิวัติ (อังกฤษ: revolution) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากระบบเดิม ยกเลิกระบบเดิม ใช้ระบบใหม่ เป็นการอธิบายว่ามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในทางการเมือง การปฏิวัติ คือ การยึดอำนาจจากผู้ปกครองเดิม แล้วทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แตกต่างจากการก่อรัฐประหาร ที่หมายถึงการล้มล้างรัฐบาลที่บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น แต่มิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองหรือรัฐทั้งรัฐเสมอไป นั้นจึงเป็นเพียงการยึดอำนาจปกครอง แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง และรูปแบบสุดท้ายนั้นก็คือ การกระทำที่มีเจตนาเช่นเดียวกับการรัฐประหารและปฏิวัติเพียงแต่กระทำการไม่สำเร็จ บทลงโทษสำหรับผู้แพ้นั้นก็คือ การถูกบันทึกว่าเป็น "กบฏ" สถานเดียว จึงจะเห็นได้ว่า แม้รูปแบบในการเข้ายึดอำนาจจะเป็นการเข้ามาไม่แตกต่างกันนัก แต่การที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของปฏิบัติการนั้นเอง
ในอดีตก่อนที่จะมีการ "การปฏิวัติสยาม" ก็ได้มีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาก่อนหน้านี้เช่นกัน ย้อนไป 24 (พ.ศ. 2455) ปีก่อนการการปฏิวัติสยาม ได้เกิด กบฏ ร.ศ. 130 ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ครั้งนั้น
นายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่แผนการแตกเสียก่อน ผู้ก่อการในครั้งนั้นได้รับโทษประหารชีวิตเเละขังคุกกันตามสภาพความผิด แต่ด้วยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย มีพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ ละเว้นโทษประหารชีวิต ด้วยทรงเห็นว่า ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์ ทุกนจึงได้รับการลดหย่อนโทษตามสมควร
กลับมาที่ "การปฏิวัติสยาม" ซึ่งคณะ" คณะราษฎร " ได้ให้เหตุผลในการก่อเหตุครั้งนั้นว่าสืบเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ ทั้งความเสื่อมโทรมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความไม่พอใจที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มักเอาแต่ทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ดังที่ระยาทรงสุรเดชเองเคยพูดว่า "พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แทบทั้งหมด มุ่งแต่เพียงทำตัวให้โปรดปรานไว้เนื้อเชื่อใจจากพระเจ้าแผ่นดินไม่ว่าด้วยวิธีใด ตลอดทั้งวิธีที่ต้องสละเกียรติยศด้วย..." อีกทั้งตอนนั้นทั่วโลกก็มีกระแสการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เกิดขึ้น เช่น รัสเซีย จีน หรือเยอรมนี การได้รับอิทธิพลทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประเทศตะวันตก ในเหล่านักศึกษาไทยที่ไปศึกษายังต่างประแดน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการใช้จ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ความแตกต่างทางฐานะด้านสังคมที่ไม่ยุติธรรมระหว่างข้าราชการที่เป็นเจ้าและที่เป็นสามัญชน
" คณะราษฎร " ที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยในครั้งนั้น เป็นกลุ่มบุคคล 2 กลุ่ม คือกลุ่มนักเรียนไทยในต่างประเทศ และกลุ่มนายทหารทั้งทหารบกรวมทั้งทหารเรือในประเทศไทย จำนวน 115 คน นำโดย พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พลเรือเอก หลวงสินธุสงครามชัย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) และหากจะพิจารณาดูแล้วก็จะพบว่าบุคคลทั้ง 2 กลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลระดับปัญญาชนที่มีสติปัญญาการศึกษาสูง ที่ต่างมีพื้นฐานบางประการเหมือนกันนั้นก็คือ ได้รับอิทธิพลของรูปแบบการปกครองจากประเทศทางตะวันตเมื่อครั้งที่ไปทำการศึกษา
พ.ศ. 2469 ณ หอพัก Rue de summerard กรุงปารีส 7 ปีก่อนทำการปฏิวัติ
ในครั้งนั้นผู้ดูเเลนักเรียนไทยซึ่งเป็นพระราชวงศ์องค์หนึ่งได้แจ้งกลับมายังเมืองไทยว่า มีนักเรียนไทยที่มีแนวคิดเป็นพวกหัวรุนเเรง จะเป็นภัยต่อประเทศจึงเห็นว่าควรให้บางคนกลับประเทศไทยเสีย ทางด้านนักเรียนไทยเองก็มีความไม่พอใจในสถาณการณ์บ้านเมืองอยู่เเล้ว การรวมกลุ่มเพื่อผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงได้ขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มาตั้งแต่ พ.ศ. 2469
คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ประชุมกันเป็นครั้งแรกที่หอพัก Rue Du Somerard กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ผู้เข้าร่วมประชุมมี 7 คน ประกอบไปด้วย ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี (นายทหารกองหนุน อดีตผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์รัชกาลที่ 6) ร.ท. แปลก ขีตตะสังคะ (หลวงพิบูลสงคราม กำลังศึกษาวิชาทหารปืนใหญ่ในโรงเรียนนายทหาร) ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี (ศึกษาวิชาการทหารม้าในโรงเรียนนายทหารของฝรั่งเศส) นายตั้ว ลพานุกรม (นักศึกษาวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกในสวิตเซอร์แลนด์) หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี ผู้ช่วยเลขานุการทูตสยามประจำกรุงปารีส) นายแนบ พหลโยธิน (เนติบัณฑิตอังกฤษ) และนายปรีดี พนมยงค์ (ดุษฎีบัณฑิตกฎหมายฝ่ายนิติศาสตร์ ฝรั่งเศส) ภายหลังการประชุมที่ยืดเยื้อถึง 5 วัน ก็ได้มีมติให้นายปรีดี เป็นประธาน และหัวหน้าคณะราษฎร จนกว่าจะมีบุคคลที่เหมาะสม โดยตกลงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากรูปแบบกษัตริย์เหนือกฏหมายมาเป็นการปกครองที่มีกษัตริย์ใต้กฏหมาย โดยใช้วิธีการ "ยึดอำนาจโดยฉับพลัน" " และจากประสบการณ์ของ กบฎ ร.ศ.130 ทำให้คณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครองในครั้งนี้ได้ทำการวางแผนการด้วยความรัดกุมอย่างยิ่ง
24 มิถุนายน 2475
ก่อนการปฏิวัติ"คณะราษฎร"ได้มีการประชุมเพื่อวางแผนกันหลายครั้ง หากว่ามีความเสี่ยงสูงก็ต้องยอมยกเลิกแผนการนั้นไปก่อน จนกระทั่งถึงครั้งที่เห็นชอบกันว่ามีความพร้อมมากที่สุด นั้นคือ จะทำการปฏิวัติในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะในวันนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานประทับที่พระราชวังไกลกังวล จึงทำให้ในกรุงเทพฯ เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
การปฏิวัติครั้งสำคัญครั้งนี้ ได้ทำการประชุมวางแผนกัน ณ บ้านของ ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่12 มิถุนายน 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่มออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ
หน่วยที่ 1 เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เวลา 06.00 น.ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์ โทรเลข รวมทั้งคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดสามารถแล่นเข้ามาได้
หน่วยที่ 2 เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น. ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากวังสวนผักกาดมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระประยุทธอริยั่น จากกรมทหารบางซื่อ รวมทั้งวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาตั้งเตรียมพร้อมไว้ โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์
หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที
สุดท้าย หน่วยที่ 4 อันถือว่าเป็น " มันสมอง " โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งเตรียมการเจรจากับต่างประเทศหลังการปฏิบัติการสำเร็จ
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร โดยพระยาทรงสุรเดช อาศัยความเป็นอาจารย์ใหญ่ที่สอนนักเรียนที่โรงเรียนนายร้อย ใช้กลลวงนำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเพื่อฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถัง จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง
แผนการในครั้งนี้สำเร็จลง เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ด้วยการวางแผนที่แยบยล ตั้งแต่การจับตัวประกัน การตัดการสื่อสาร และที่สำคัญการลวงทหาร ดังที่พระยาทรงสุรเดชได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้ชัดเจนว่า "เป็นเพราะนายทหาร นายสิบ พลทหารเหล่านั้นเห็นด้วยในการปฏิวัติหรือ...เปล่าเลย ทั้งนายทหาร นายสิบ พลทหาร ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีใครเคยได้เห็นได้รู้ การปฏิวัติทำอย่างไร เพื่ออะไร มีแต่ความงงงวยเต็มไปด้วยความไม่รู้ และข้อนี้เองเป็นเหตุสำคัญแห่งความสำเร็จ ! สำหรับพลทหารทั้งหมดไม่ต้องสงสัยเลย เขาทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เขาถูกฝึกมาเช่นนั้น และหากนายทหารอื่นมาสั่งให้ทำโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทำไมเขาจะไม่ทำ เพราะในชีวิตเป็นทหารของเขา เขายังไม่เคยถูกเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะรู้ไม่ได้เลยว่าเป็นการลวง ในเมื่อเขาโดนเป็นครั้งแรก ...นายทหารทั้งหมดส่วนมากได้เรียนในโรงเรียนนายร้อยในสมัยที่ผู้อำนวยการฝ่ายทหารเป็นอาจารย์ใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงมีความเคารพและเกรงในฐานผู้ใหญ่"
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ และบ้านเมืองต้องได้รับความเสียหาย อีกทั้งพระองค์เองก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎรที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
หลังยึดอำนาจสำเร็จ วันที่ 26 มิถุนายน 2475 ผู้แทนคณะราษฏรได้เดินทางเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ วังศุโขทัย นำเอกสารสำคัญขึ้นทูลเกล้าเพื่อลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงพระปรมาภิไธยในธรรมนูญการปกครองประเทศ โดยทรงเพิ่มคำว่า "ชั่วคราว" ต่อท้ายธรรมนูญการปกครองฯ ในวันที่ 27 มิถุนายน
สภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกตามธรรมนูญการปกครองฯ มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี คนแรกของประเทศไทยและมีนายปรีดี เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของสภาผู้แทนราษฎร และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ภายใต้การนำของคณะราษฎร เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยซึ่งเดิมเป็นของกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ให้มาเป็นของประชาชน และยกกษัตริย์ขึ้นเป็นประมุขของประเทศ โดยไม่มี พระราชอำนาจในทางการบริหารบ้านเมืองอย่างแท้จริง หากเป็นสัญลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ การกระทำของกษัตริย์ในทางการเมืองต้องมีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการเสมอ นั่นคือ ผู้ลงนามสนองฯเป็นผู้กระทำและรับผิดชอบ ส่วนการกระทำของกษัตริย์เป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น และมีหลัก 6 ประการเป็นเป้าหมาย อันประกอบด้วย เอกราช, ความปลอดภัย, ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ, ความเสมอภาค, เสรีภาพ และการศึกษา
หลักฐานแห่งประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้ถูกถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันบนลานบนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่าเป็น สมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน เขียนไว้ว่า “ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ”
ภายหลังการปฏิวัติที่สำเร็จลง ก็ใช่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะสงบลงเอยด้วยดี ยังการต่อสู้ทางการเมืองของผู้มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันทั้ง ผู้นำในระบบเก่าที่ยึดมั่นในทาง(สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กับระบอบใหม่ (ประชาธิปไตย) รวมทั้งในกลุ่มคณะราษฎรเองก็มีความขัดแย้งกันในภายหลังอย่างรุ่นเเรงเช่นกัน
สิ่งที่เราได้จากวันที่ 24 มิถุนา 2475 คือ การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ แต่ประชาธิปไตยจะก้าวไปในทิศทางใดขึ้นอยู่กับผู้ใช้ในปัจจุบัน
เบื้องหน้าเบื้องหลังการปฏิวัติ กบฏ หรือรัฐประหารในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่เรารับรู้ย่อมเป็นไปอย่างหลากหลาย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ใครคือผู้ครอบครอบ "อำนาจ"ในการเปิดเผยประวัติศาสตร์ในขณะนั้นๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจละเลยได้ นั้นก็คือ ส่วนหนึ่งของ พระราชหัตถเลขาฉบับประวัติศาสตร์ว่าของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้ง ได้ทรงสละราชสมบัติ ในวันที่ 2 มีนาคม 2477 ความว่า
"…ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน"
ข้อมูลอ้างอิง
10 ธันวา วันรัฐธรรมนูญ ? คอลัมน์ ระดมสมอง โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3855 (3055)
กบฏ - ปฏิวัติ - รัฐประหาร ในสังคมการเมืองไทย หัวไม้ story
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475 งานศึกษาวิจัย ของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
สถาบันพระปกเกล้า www.kpi2.org
http://vcharkarn.com/varticle/38847
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556
อาณาจักรขอม
อาณาจักรขอม
ยุคอาณาจักรขอม เมื่ออาณาจักรเจนละเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรขอม ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่นครธม ก็ได้แผ่อำนาจไปทั่วภาคอีสาน ภาคกลางและภาคเหนือบางส่วนของประเทศไทยในปัจจุบัน บริเวณแถบลุ่มแม่น้ำโขงในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ เป็นดินแดนที่ตกอยู่ในอิทธิพล และวัฒนธรรมของอาณาจักรขอม นำลัทธิศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามาแพร่หลาย มีการสร้างปราสาทขอมขึ้นบนภูมิภาคนี้ขึ้นไปจนถึงจังหวัดสกลนคร อุดรธานี หนองคายและเวียงจันทน์ แต่ไม่พบร่องรอยศาสนสถานที่เป็นแบบของขอมในเขตจังหวัดมุกดาหาร คงพบแต่ไหมีหูบรรจุกระดูกคนตายที่ฝังไว้ในดินเป็นจำนวนมาก ในเกือบทุกพื้นที่ของจังหวัด ซึ่งนักโบราณคดีระบุว่าเป็นศิลปะแบบลพบุรี (ขอม) จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบจังหวัดมุกดาหาร น่าจะเป็นชนเผ่าข่า แต่ถูกปกครองโดยอาณาจักรขอม ยังเป็นชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีความสำคัญทางการปกครอง เหมือนแถบเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร หรือทางฝั่งขวาสะหวันนะ เขตทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ที่มีการสร้างพระธาตุนารายณ์เจงเวง สะพานหินและเรือนหินปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
มีผู้ให้รายละเอียดของรูปลักษณะหน้าตาของคนขอมไว้ว่าเป็นชาวใต้ ผิวคล้ำ ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบนทั้งชายหญิง
หลังยุคอาณาจักรขอม บริเวณแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงนับแต่เวียงจันทน์ลงไปถึงแก่งลี่ผี ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ และในที่สุดได้ตกเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๑
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ก่อนที่ชาวมุกดาหารจะอพยพเข้ามาอยู่ มีคนหลายเชื้อชาติปะปนกันโดยมีชนเผ่าข่าซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมเป็นหลักอยู่อาศัยมากที่สุด
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
เมืองมุกดาหาร พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร จากราชวงศ์เวียงจันทน์ได้แยกออกไปตั้งอาณาจักรจำปาศักดิ์ ผู้คนจากอาณาจักรเวียงจันทน์ จึงได้เริ่มอพยพลงมาตามลำแม่น้ำโขง มีการตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่หลายแห่งด้วยกัน
เจ้าจันทรสุริยวงษ์และพรรคพวกได้มาตั้งอยู่ที่บ้านหลวงโพนสิน บริเวณใกล้พระธาตุอิงฮัง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ต่อมาเจ้าจันทกินรีผู้เป็นบุตร ได้อพยพพรรคพวกข้ามโขง มาตั้งอยู่ที่เมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงปากห้วยบังมุก เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ พบพระพุทธรูปสององค์อยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงได้สร้างวัดขึ้นใหม่ในบริเวณวัดร้างเดิมริมฝั่งโขง ขนานนามวัดที่สร้างใหม่ว่าวัดศรีมุงคุณ (ศรีมงคล) และได้นำพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่พบไปประดิษฐานในวิหารของวัด ชาวเมืองขนานนามว่าพระเจ้าองค์หลวง เป็นพระประธานของวัดศรีมุงคุณ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนวัดได้เปลี่ยนนามเป็น วัดศรีมงคลใต้
ต่อมาเมื่อมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ ในเวลากลางคืนได้มีผู้เห็นดวงแก้วดวงหนึ่งสีสดใส เปล่งแสงเป็นประกายลอยออกจากต้นตาลเจ็ดยอดริมฝั่งโขง ล่องลอยไปตามลำน้ำโขงแทบทุกคืน จนใกล้รุ่งจึงลอยกลับมาที่ต้นตาลเจ็ดยอด เจ้าจันทกินรีจึงให้ขนานนามแก้วศุภมิตรดวงนี้ว่า แก้วมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ อาณาเขตเมืองมุกดาหารครอบคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง จนจรดแดนญวน
ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยากษัตริย์ศึก ยกกองทัพขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง เพื่อปราบปราม และรวบรวมหัวเมืองตั้งแต่นครจำปาศักดิ์ นครเวียงจันทร์ นครหลวงพระบาง และหัวเมืองใหญ่น้อยในสองฝั่งแม่น้ำโขง ให้รวมอยู่ในข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงธนบุรี เมืองมุกดาหารเป็นเมืองหนึ่งในบรรดาหัวเมืองดังกล่าว เจ้าจันทกินรีได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาจันทรศรีสุราชอุปราชมันธาตุราช เจ้าเมืองมุกดาหารคนแรก และได้รับพระราชทานนามเมืองว่า เมืองมุกดาหาร ได้มีเจ้าเมืองต่อ ๆ มาอีกหลายคน
พระยาจันทรศรีสุราช ฯ (เจ้าจันทกินรี) เจ้าเมืองคนแรกดำรงตำแหน่งอยู่ ๒๖ ปี ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๗
พระยาจันทรสุรียวงษ์ (กิ่ง) เป็นบุตรเจ้าเมืองคนแรก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๔๘ - ๒๓๘๓ ในปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เป็นกบฎต่อกรุงเทพ ฯ ได้ยกกองทัพล่วงเลยไปถึงเมืองนครราชสีมา แล้วกวาดต้อนผู้คนไปยังนครเวียงจันทน์ หัวเมืองใดขัดขืนก็จับเจ้าเมืองประหารชีวิต กำลังส่วนที่ยกลงมาตามลำแม่น้ำโขง ได้กวาดต้อนผู้คนตั้งแต่เมืองไชยบุรี นครพนม มุกดาหารและเมืองเขมราฐ เมืองมุกดาหารถูกตีแตก ชาวเมืองหลบหนีเข้าป่าเป็นส่วนมาก
ในการปราบปรามเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๕ เจ้าเมืองมุกดาหารได้รับมอบให้จัดไพร่พลเป็นกองลาดตระเวณออกไปยังเมืองมหาชัย เมืองชุมพร (จำพอน) เมืองพ้อง เมืองพลาน ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง กองทัพเมืองมุกดาหารได้กวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาได้ ๑,๐๕๗ คน ส่วนใหญ่เป็นพวกข่า กะโซ่ กะเลิ่ง ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่ฝ่ายเวียงจันทน์
ในปี พ.ศ.๒๓๗๕ เกิดฝนแล้งในเขตเมืองมุกดาหาร ทำนาได้เพียงหนึ่งส่วนเสียไปสองส่วน เก็บข้าวขึ้นฉางไว้ใช้ในราชการเมืองมุกดาหารได้เพียง ๖,๐๐๐ ถัง ส่งข้าวไปช่วยราชการกองทัพที่เมืองนครพนม ๑,๕๐๐ ถัง แจกจ่ายให้ครอบครัวที่อยพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ๑,๖๐๐ ถัง ราษฎรบางส่วนได้รับความเดือดร้อน จนถึงกับต้องกินข้าวผสมมันและกลอย
ในปี พ.ศ.๒๓๘๓ สมุหนายก ได้มีท้องตราพระราชสีห์มายังเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทางเมืองวัง เมืองพัน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองตะโปน (เซโปน) และเมืองชุมพร (จำพอน) มีกลุ่มคนหลายเผ่าเพันธุ์ เช่น ผู้ไทย ข่า กะโซ่ กะเลิง ย้อ ฯลฯ เป็นอันมากอาจเป็นกำลังแก่ฝ่ายญวน จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ พระเทพวรษา (บุญจันทร์) เจ้าเมืองเขมราฐ เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพเมืองอุบล ฯ เมืองเขมราฐ และเมืองมุกดาหาร ยกข้ามโขงไปกวาดต้อนผู้คนในเมืองดังกล่าว เพื่อตัดเส้นทางของกองทัพญวน ให้ห่างไกลออกไป
พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) (พ.ศ.๒๓๘๔ - ๒๔๐๕) เป็นบุตรเจ้าคนก่อน ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ ก่อนหน้านั้นอุปฮาด (พรหม) ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา ให้เป็นผู้ว่า ที่เจ้าเมืองมุกดาหาร
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เมืองมุกดาหารกำกับเมืองหนองสูง ให้ไปรักษาเขตแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีหน้าที่รักษาเขตแดนที่เมืองคำอ้อ ทางด้านตะวันออกถึงเมืองห้วยกะสะ ทางเหนือถึงทุ่งทรายค้อ ต่อเขตเมืองมหาไชย ด้านตะวันตกถึงทุ่งนาบอน แขวงเมืองมหาไชย ด้านใต้ถึงลำเซน้อย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ที่จะต้องลาดตระเวณตรวจตรา
ส่วน อุปฮาด ราชบุตรเมืองหนองสูง ที่อพยพมาจากเมืองวัง ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านคำชะอี ให้จัดกำลังคนออกไปตั้งด่านรักษาเขตแดน ที่เมืองวัง ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงด้านตะวันออก ถึงห้วยพะเยาต่อเมืองคาง ด้านเหนือถึงบ้านนาค้อใต้น้ำกวด ด้านตะวันตกถึงภูเขาสร่างเห่ ด้านใต้ถึงภูเขานอ ให้เมืองมุกดาหารแบ่งเขตแดนให้เมืองหนองสูง ด้านตะวันออกตั้งแต่ห้วยทราย ด้านเหนือถึงเขตบางมอญ ด้านตะวันตกถึงห้วยบังอี ด้านใต้ตั้งแต่บ้านห้วยทราย
เมืองมุกดาหาร ได้แต่งกรมการเมือง ท้าวเพี้ย ผลัดเปลี่ยนกันข้ามโขง ออกไปลาดตระเวณสืบข้อราชการทางเมืองวัง เมืองคำอ้อต่อแดนญวนอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด
ปี พ.ศ.๒๓๙๗ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ของสมุหนายก ขึ้นมาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารว่า เนื่องจากในเมืองจีนได้เกิดการกบฎขึ้น เรือสำเภาจีนที่เคยเดินทางไปมาค้าขายลดน้อยลง ท้องพระคลังจึงจำหน่ายผลเร่ว (หมากเหน่ง) ส่วยที่ส่งไปเมืองได้น้อยลง ประกอบกับผลเร่วในป่าแถบลุ่มแม่น้ำโขงก็มีน้อยลง บางครั้งเจ้าเมืองกรมการต้องจัดหาเงินไปซื้อผลเร่ว เพื่อส่งไปกรุงเทพ ฯ อนึ่ง การนำผลเร่วบรรทุกช้าง ม้า โค ต่าง ๆ ลงไปส่งกรุงเทพ ฯ ก็เป็นการลำบากอยู่แล้ว ฉะนั้น หากหาผลเร่วไม่ได้ หรือไม่พอเพียง ก็ให้เจ้าเมืองกรมการเอาเงินลงไปส่งแทน จึงให้เรียกว่า เงินแทนผลเร่วส่วย โดยให้คิดราคาแทนผลเร่วหาบละ ๕ ตำลึง (๒๐ บาท) โดยคิดจากชายฉกรรจ์ ๑๐ คน ต่อผลเร่ว ๑ หาบ
ในปี พ.ศ.๒๔๐๐ พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) ถึงแก่กรรม อุปฮาด (คำ) ได้เป็นผู้รักษาเมืองต่อมาอีก ๒ ปี
เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ ฯ (เจ้าหนู) (พ.ศ.๒๔๐๘ - ๒๔๑๒) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าหนู เชื้อสายเจ้าจากราชวงศ์เวียงจันทน์ เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๗ เดิมเป็นเจ้าเมืองขอนแก่น ส่วนอุปฮาด (คำ) ผู้รักษาเมืองมุกดาหารมาก่อน ก็ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็ฯ พระพฤกษมนตรี ตำแหน่ง จางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๑ เจ้าจันทรสุริยวงษ์ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้มีศุภอักษร กราบบังคลทูล ฯ ลงไปกรุงเทพ ฯ ว่า ได้เกลี้ยกล่อมได้พวกลาวพวน และผู้ไทย จากเมืองเชียงขวาง เมืองสุย เมืองสบแอก เมืองซำเหนือ เมืองบัว เมืองพาน เมืองส่วย เมืองแทน มีหลวงภักดี ฯ เป็นหัวหน้า สวามิภักดิ์และขอทำราชการขึ้นกับเมืองมุกดาหาร มีจำนวน ๑,๐๙๔ คน จึงให้พักตั้งครอบครัวอยู่ที่บ้านหนองแก้ว หาดเดือย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ตรงข้ามอำเภอบึงกาฬ) ซึ่งเป็นเขตนครเวียงจันทน์เดิม จึงขอรับพระราชทานตั้งขึ้นเป็นเมือง ต่อมาจึงได้โปรดเกล้า ฯ ตั้งขึ้นเป็นเมืองประชุมพนาลัย ขึ้นกับเมืองมุกดาหาร ปัจจุบันลาวเรียกว่า เมืองประชุม
เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้จัดราชบรรณาการ มีต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน สูง ๙ ชั้น หนักต้นละ ๒ ตำลึง ๓ บาท พร้อมด้วย นรนาด ๑ ยอด งาช้าง ๑๒ กิ่ง สีผึ้งหนัก ๑๒ บาท กับเงินแทนผลเร่วส่วย เป็นราชบรรณาการของเมืองมุกดาหาร เสมือนหนึ่งเป็นประเทศราช ลงไปทูลเกล้า ฯ ถวายที่กรุงเทพ ฯ ทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๐ ต่อมาได้ยกเลิกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔
เมืองในภาคอีสานที่เคยถวายราชบรรณาการต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน มีอยู่สองเมืองคือ เมืองนครพนม และเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๒ พระพฤกษมนตรี (คำ) จางวางอุปฮาด (จีน) และราชบุตร (แท่ง) ได้นำคำฟ้องกล่าวโทษ เจ้าจันทรเทพ ฯ ถึง ๔๐ ข้อ ระบุความผิดว่า ได้เบียดเบียนประพฤติผิดในทำนองคลองธรรมของบ้านเมือง ราษฎรเดือดร้อน ต่อมาได้มีท้องตราพระราชสีห์มาถึงเมืองมุกดาหารว่า ให้เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมือง เจ้าราชวงศ์ (เจ้าดวงเกษ) พระศรีวรราช (เจ้าดวงจันทร์) เจ้าเมืองท่าอุเทน ผู้เป็นบุตรลงไปสู้คดีความที่กรุงเทพ ฯ ตระลาการ เห็นว่ามีความผิดจริง สมควรถอดออกจากตำแหน่งทั้งสามคน แล้วให้ยึดตัวไว้ในกรุงเทพ ฯ ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้บรรดาศักดิ์ทั้งสามคน ลงมาใช้นามเดิม
พระจันทรสุริยวงษ์ (คำ) (พ.ศ.๒๔๑๓ - ๒๔๒๐) พระพฤกษมนตรี (คำ) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระจันทรสุริยวงษ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร ในปี พ.ศ.๒๔๑๓ นับเป็นเจ้าเมืองลำดับที่ห้า เป็นบุตรพระยาจันทสุริยวงษ์ (กิ่ง) เจ้าเมืองมุกดาหารลำดับที่สอง และยังคงพระราชทานเครื่องยศบรรดาศักดิ์ เสมอเหมือนเจ้าเมืองหัวเมืองชั้นเอก ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
ปี พ.ศ.๒๔๑๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ จากสมุหนายกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ สุวรรณภูมิ อุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร เขมราฐ เพชรบูรณ์ วิเชียร และหล่มสัก ว่าเนื่องจากทัพฮ่อยกมาตีเมืองเวียงจันทน์ และหนองคาย จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จ ฯ กรมพระบำราศปรปักษ์ เป็นเแม่ทัพใหญ่ยกออกจากกรุงเทพ ฯ จึงให้เกณฑ์กองทัพเมืองร้อยเอ็ด ๕,๐๐๐ เมืองสุวรรณภูมิ ๕,๐๐๐ เมืองกาฬสินธ์ ๔,๐๐๐ เมืองอุบลราชธานี ๑๐,๐๐๐ เมืองยโสธร ๕,๐๐๐ เมืองเขมราฐ ๔,๐๐๐ เมืองมุกดาหาร ๔,๐๐๐ รวม ๓๗,๐๐๐ คน ส่วนเมืองเพชรบูรณ์ ๔๐๐ ช้าง ๒๐ เชือก เมืองวิเชียร ๒๐๐ ช้าง ๑๕ เชือก เมืองหล่มสัก ๖๐๐ ช้าง ๒๐๐ เชือก โดยให้เตรียมทัพไว้ให้พร้อม
ในปลายปี พ.ศ.๒๔๑๘ พระยามหาอำมาตย์ เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ซึ่งขึ้นมาจัดราชการ และตั้งอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานี ได้มีคำสั่งมายังหัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ให้จัดเตรียมเรือไว้ใช้ในราชการทัพ เพื่อเตรียมยกกองทัพทางเรือไปสมทบ กองทัพใหญ่ในการปราบฮ่อ โดยให้เตรียมขุดถากทำเรือไว้ให้ กว้าง ๔ วา ๕ ศอก ๖ คืบ คือ เมืองหนองคาย ๕๐ ลำ เมืองโพนพิสัย ๓๐ ลำ เมืองไชยบุรี ๒๐ ลำ เมืองท่าอุเทน ๑๕ ลำ เมืองนครพนม ๕๐ ลำ เมืองเขมราฐ ๔๐ ลำ เมืองมุกดาหาร ๔๐ ลำ รวม ๒๔๕ ลำ
พระจันทรสุริยวงษ์ (บุญเฮ้า) (พ.ศ.๒๔๒๑ - ๒๔๓๐) ได้รักษาราชการเมืองมุกดาหารอยู่สองปี จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรประทับพระราชลัญจกร ตั้งให้เป็นพระจันทรสุริยวงศ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๒๕ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่มาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารมีใจความว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๐ ให้ยกเมืองกุฉินารายณ์เมืองขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ มาขึ้นเมืองมุกดาหารนั้น บัดนี้เจ้าเมืองกาฬสินธุ์และเจ้าเมืองกุฉินารายณ์ได้ถึงแก่กรรมแล้วทั้งสองคน ท้าวกินรีผู้ว่าที่เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ ได้ขอกลับคืนไปขึ้นกับเมืองกาฬสินธุ์ตามเดิม
ในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่ขึ้นมาถึงเมืองมุกดาหารว่าได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (หวน ศรีเพ็ญ) สมุหมหาดไทยฝ่ายเหนือ และข้าหลวงใหญ่ซึ่งมาจัดราชการอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นแม่ทัพยกขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองเขมราฐ ริมฝั่งโขง เนื่องจากเมื่อฝรั่งเศสได้ดินแดนญวนทางภาคใต้ แล้วบังคับให้ญวนทำสัญญา เพื่อจัดราชการบ้านเมืองตามสัญญาปี ค.ศ.๑๘๘๓ (พ.ศ.๒๔๒๖) แต่พระเจ้าแผ่นดินญวน พร้อมผู้สำเร็จราชการ ได้ระดมทหารถึงสามหมื่นคนมาตั้งอยู่ที่เมืองเว้แล้วเข้าทำร้ายนายพลฝรั่งเศส จุดไฟเผาทำลายค่ายทหารฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้จับผู้สำเร็จราชการและฆ่าทหารญวนตาย
๑,๒๐๐ คน พระเจ้าแผ่นดินญวนและเสนาบดีได้หลบหนีเข้ามาในพระราชอาณาเขต ได้หลบหนีเข้ามาทางเมืองลาดคำรั้ง เมืองลาวบาว แข้ามาหลบซ่อนทางเมืองวัง ที่บ้านดงม่วง เมื่อพบกำลังฝ่ายไทยยกออกไปสกัดกั้นจึงได้หลบหนีออกไปทางเมืองคำเกิดคำม่วน บ้านนาแป ข้ามเขาบรรทัดแล้วหนีออกไปเมืองต่งเหง่ (เมืองวินห์)
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๔ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้เริ่มเผยแพร่ออกสู่หัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งวัดศาสนาคริสต์ที่บ้านบุ่งกระแทง เมืองอุบล ฯ แล้วแผ่ขยายตามลำน้ำโขงที่เมืองสกลนคร (ท่าแร่) เมืองนครพนม (หนองแสง) และเมืองมุกดาหาร (สองคอน) บรรดาพวกทาสซึ่งส่วนมากเป็นพวกข่าและภูเทิง (ผู้ไทยผสมญวน) ได้ถูกชักชวนให้ไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ได้หลบหนีจากเจ้าเบี้ยนายเงินไปพึ่งพาอาศัยอยู่กับบาทหลวงเป็นจำนวนมาก เกิดมีปัญหาระหว่างนายเงินและตัวทาส ครั้นเจ้าของทาสไปร้องขอกับบาทหลวงก็ไม่ยอม
พระยาศศิวงษ์ประวัติ (เมฆ จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๓๐ - ๒๔๔๐) ราชบุตร (เมฆ) ได้เป็นผู้รักษาราชการเจ้าเมือง แทนหลังจากที่เจ้าเมืองคนก่อนถึงแก่กรรม และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔ และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระจันทรเทพสุริยวงษา เจ้าเมืองมุกดาหาร เป็นพระยาศศิวงษ์ประวัติ ตำแหน่งจางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร เนื่องจากเป็นเจ้าเมืองเก่า มีอายุมาก และได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองให้เหมือนกันหมดทั่วราชอาณาจักร ให้ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงษ์ ราชบุตร ตามธรรมเนียมโบราณ มาเป็นผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมือง
พระจันทรเทพสุริยวงษา (แสง จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๔๑ - ๒๔๔๙) ราชวงษ์ (แสง) บุตรพระยาศศิวงษ์ประวัติ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระจันทรเทพสุริยวงษา ผู้ว่าราชการเมืองมุกดาหารคนแรก
ปี พ.ศ.๒๔๔๖ เมืองมุกดาหารมีสองอำเภอคืออำเภอเมือง ฯ และอำเภอเมืองหนองสูง ส่วนเมืองพาลุกากรภูมิถูกยุบลงเป็นหมู่บ้าน
ที่มา http://manussawee-story.blogspot.com/
ยุคอาณาจักรขอม เมื่ออาณาจักรเจนละเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรขอม ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่นครธม ก็ได้แผ่อำนาจไปทั่วภาคอีสาน ภาคกลางและภาคเหนือบางส่วนของประเทศไทยในปัจจุบัน บริเวณแถบลุ่มแม่น้ำโขงในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ เป็นดินแดนที่ตกอยู่ในอิทธิพล และวัฒนธรรมของอาณาจักรขอม นำลัทธิศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามาแพร่หลาย มีการสร้างปราสาทขอมขึ้นบนภูมิภาคนี้ขึ้นไปจนถึงจังหวัดสกลนคร อุดรธานี หนองคายและเวียงจันทน์ แต่ไม่พบร่องรอยศาสนสถานที่เป็นแบบของขอมในเขตจังหวัดมุกดาหาร คงพบแต่ไหมีหูบรรจุกระดูกคนตายที่ฝังไว้ในดินเป็นจำนวนมาก ในเกือบทุกพื้นที่ของจังหวัด ซึ่งนักโบราณคดีระบุว่าเป็นศิลปะแบบลพบุรี (ขอม) จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบจังหวัดมุกดาหาร น่าจะเป็นชนเผ่าข่า แต่ถูกปกครองโดยอาณาจักรขอม ยังเป็นชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีความสำคัญทางการปกครอง เหมือนแถบเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร หรือทางฝั่งขวาสะหวันนะ เขตทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ที่มีการสร้างพระธาตุนารายณ์เจงเวง สะพานหินและเรือนหินปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
มีผู้ให้รายละเอียดของรูปลักษณะหน้าตาของคนขอมไว้ว่าเป็นชาวใต้ ผิวคล้ำ ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบนทั้งชายหญิง
หลังยุคอาณาจักรขอม บริเวณแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงนับแต่เวียงจันทน์ลงไปถึงแก่งลี่ผี ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ และในที่สุดได้ตกเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๑
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ก่อนที่ชาวมุกดาหารจะอพยพเข้ามาอยู่ มีคนหลายเชื้อชาติปะปนกันโดยมีชนเผ่าข่าซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมเป็นหลักอยู่อาศัยมากที่สุด
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
เมืองมุกดาหาร พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร จากราชวงศ์เวียงจันทน์ได้แยกออกไปตั้งอาณาจักรจำปาศักดิ์ ผู้คนจากอาณาจักรเวียงจันทน์ จึงได้เริ่มอพยพลงมาตามลำแม่น้ำโขง มีการตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่หลายแห่งด้วยกัน
เจ้าจันทรสุริยวงษ์และพรรคพวกได้มาตั้งอยู่ที่บ้านหลวงโพนสิน บริเวณใกล้พระธาตุอิงฮัง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ต่อมาเจ้าจันทกินรีผู้เป็นบุตร ได้อพยพพรรคพวกข้ามโขง มาตั้งอยู่ที่เมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงปากห้วยบังมุก เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ พบพระพุทธรูปสององค์อยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงได้สร้างวัดขึ้นใหม่ในบริเวณวัดร้างเดิมริมฝั่งโขง ขนานนามวัดที่สร้างใหม่ว่าวัดศรีมุงคุณ (ศรีมงคล) และได้นำพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่พบไปประดิษฐานในวิหารของวัด ชาวเมืองขนานนามว่าพระเจ้าองค์หลวง เป็นพระประธานของวัดศรีมุงคุณ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนวัดได้เปลี่ยนนามเป็น วัดศรีมงคลใต้
ต่อมาเมื่อมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ ในเวลากลางคืนได้มีผู้เห็นดวงแก้วดวงหนึ่งสีสดใส เปล่งแสงเป็นประกายลอยออกจากต้นตาลเจ็ดยอดริมฝั่งโขง ล่องลอยไปตามลำน้ำโขงแทบทุกคืน จนใกล้รุ่งจึงลอยกลับมาที่ต้นตาลเจ็ดยอด เจ้าจันทกินรีจึงให้ขนานนามแก้วศุภมิตรดวงนี้ว่า แก้วมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ อาณาเขตเมืองมุกดาหารครอบคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง จนจรดแดนญวน
ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยากษัตริย์ศึก ยกกองทัพขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง เพื่อปราบปราม และรวบรวมหัวเมืองตั้งแต่นครจำปาศักดิ์ นครเวียงจันทร์ นครหลวงพระบาง และหัวเมืองใหญ่น้อยในสองฝั่งแม่น้ำโขง ให้รวมอยู่ในข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงธนบุรี เมืองมุกดาหารเป็นเมืองหนึ่งในบรรดาหัวเมืองดังกล่าว เจ้าจันทกินรีได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาจันทรศรีสุราชอุปราชมันธาตุราช เจ้าเมืองมุกดาหารคนแรก และได้รับพระราชทานนามเมืองว่า เมืองมุกดาหาร ได้มีเจ้าเมืองต่อ ๆ มาอีกหลายคน
พระยาจันทรศรีสุราช ฯ (เจ้าจันทกินรี) เจ้าเมืองคนแรกดำรงตำแหน่งอยู่ ๒๖ ปี ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๗
พระยาจันทรสุรียวงษ์ (กิ่ง) เป็นบุตรเจ้าเมืองคนแรก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๔๘ - ๒๓๘๓ ในปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เป็นกบฎต่อกรุงเทพ ฯ ได้ยกกองทัพล่วงเลยไปถึงเมืองนครราชสีมา แล้วกวาดต้อนผู้คนไปยังนครเวียงจันทน์ หัวเมืองใดขัดขืนก็จับเจ้าเมืองประหารชีวิต กำลังส่วนที่ยกลงมาตามลำแม่น้ำโขง ได้กวาดต้อนผู้คนตั้งแต่เมืองไชยบุรี นครพนม มุกดาหารและเมืองเขมราฐ เมืองมุกดาหารถูกตีแตก ชาวเมืองหลบหนีเข้าป่าเป็นส่วนมาก
ในการปราบปรามเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๕ เจ้าเมืองมุกดาหารได้รับมอบให้จัดไพร่พลเป็นกองลาดตระเวณออกไปยังเมืองมหาชัย เมืองชุมพร (จำพอน) เมืองพ้อง เมืองพลาน ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง กองทัพเมืองมุกดาหารได้กวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาได้ ๑,๐๕๗ คน ส่วนใหญ่เป็นพวกข่า กะโซ่ กะเลิ่ง ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่ฝ่ายเวียงจันทน์
ในปี พ.ศ.๒๓๗๕ เกิดฝนแล้งในเขตเมืองมุกดาหาร ทำนาได้เพียงหนึ่งส่วนเสียไปสองส่วน เก็บข้าวขึ้นฉางไว้ใช้ในราชการเมืองมุกดาหารได้เพียง ๖,๐๐๐ ถัง ส่งข้าวไปช่วยราชการกองทัพที่เมืองนครพนม ๑,๕๐๐ ถัง แจกจ่ายให้ครอบครัวที่อยพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ๑,๖๐๐ ถัง ราษฎรบางส่วนได้รับความเดือดร้อน จนถึงกับต้องกินข้าวผสมมันและกลอย
ในปี พ.ศ.๒๓๘๓ สมุหนายก ได้มีท้องตราพระราชสีห์มายังเมืองมุกดาหาร ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทางเมืองวัง เมืองพัน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองตะโปน (เซโปน) และเมืองชุมพร (จำพอน) มีกลุ่มคนหลายเผ่าเพันธุ์ เช่น ผู้ไทย ข่า กะโซ่ กะเลิง ย้อ ฯลฯ เป็นอันมากอาจเป็นกำลังแก่ฝ่ายญวน จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ พระเทพวรษา (บุญจันทร์) เจ้าเมืองเขมราฐ เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพเมืองอุบล ฯ เมืองเขมราฐ และเมืองมุกดาหาร ยกข้ามโขงไปกวาดต้อนผู้คนในเมืองดังกล่าว เพื่อตัดเส้นทางของกองทัพญวน ให้ห่างไกลออกไป
พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) (พ.ศ.๒๓๘๔ - ๒๔๐๕) เป็นบุตรเจ้าคนก่อน ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ ก่อนหน้านั้นอุปฮาด (พรหม) ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา ให้เป็นผู้ว่า ที่เจ้าเมืองมุกดาหาร
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เมืองมุกดาหารกำกับเมืองหนองสูง ให้ไปรักษาเขตแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีหน้าที่รักษาเขตแดนที่เมืองคำอ้อ ทางด้านตะวันออกถึงเมืองห้วยกะสะ ทางเหนือถึงทุ่งทรายค้อ ต่อเขตเมืองมหาไชย ด้านตะวันตกถึงทุ่งนาบอน แขวงเมืองมหาไชย ด้านใต้ถึงลำเซน้อย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ที่จะต้องลาดตระเวณตรวจตรา
ส่วน อุปฮาด ราชบุตรเมืองหนองสูง ที่อพยพมาจากเมืองวัง ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านคำชะอี ให้จัดกำลังคนออกไปตั้งด่านรักษาเขตแดน ที่เมืองวัง ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงด้านตะวันออก ถึงห้วยพะเยาต่อเมืองคาง ด้านเหนือถึงบ้านนาค้อใต้น้ำกวด ด้านตะวันตกถึงภูเขาสร่างเห่ ด้านใต้ถึงภูเขานอ ให้เมืองมุกดาหารแบ่งเขตแดนให้เมืองหนองสูง ด้านตะวันออกตั้งแต่ห้วยทราย ด้านเหนือถึงเขตบางมอญ ด้านตะวันตกถึงห้วยบังอี ด้านใต้ตั้งแต่บ้านห้วยทราย
เมืองมุกดาหาร ได้แต่งกรมการเมือง ท้าวเพี้ย ผลัดเปลี่ยนกันข้ามโขง ออกไปลาดตระเวณสืบข้อราชการทางเมืองวัง เมืองคำอ้อต่อแดนญวนอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด
ปี พ.ศ.๒๓๙๗ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ของสมุหนายก ขึ้นมาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารว่า เนื่องจากในเมืองจีนได้เกิดการกบฎขึ้น เรือสำเภาจีนที่เคยเดินทางไปมาค้าขายลดน้อยลง ท้องพระคลังจึงจำหน่ายผลเร่ว (หมากเหน่ง) ส่วยที่ส่งไปเมืองได้น้อยลง ประกอบกับผลเร่วในป่าแถบลุ่มแม่น้ำโขงก็มีน้อยลง บางครั้งเจ้าเมืองกรมการต้องจัดหาเงินไปซื้อผลเร่ว เพื่อส่งไปกรุงเทพ ฯ อนึ่ง การนำผลเร่วบรรทุกช้าง ม้า โค ต่าง ๆ ลงไปส่งกรุงเทพ ฯ ก็เป็นการลำบากอยู่แล้ว ฉะนั้น หากหาผลเร่วไม่ได้ หรือไม่พอเพียง ก็ให้เจ้าเมืองกรมการเอาเงินลงไปส่งแทน จึงให้เรียกว่า เงินแทนผลเร่วส่วย โดยให้คิดราคาแทนผลเร่วหาบละ ๕ ตำลึง (๒๐ บาท) โดยคิดจากชายฉกรรจ์ ๑๐ คน ต่อผลเร่ว ๑ หาบ
ในปี พ.ศ.๒๔๐๐ พระจันทรสุริยวงษ์ (พรหม) ถึงแก่กรรม อุปฮาด (คำ) ได้เป็นผู้รักษาเมืองต่อมาอีก ๒ ปี
เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ ฯ (เจ้าหนู) (พ.ศ.๒๔๐๘ - ๒๔๑๒) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าหนู เชื้อสายเจ้าจากราชวงศ์เวียงจันทน์ เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๗ เดิมเป็นเจ้าเมืองขอนแก่น ส่วนอุปฮาด (คำ) ผู้รักษาเมืองมุกดาหารมาก่อน ก็ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็ฯ พระพฤกษมนตรี ตำแหน่ง จางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๑ เจ้าจันทรสุริยวงษ์ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้มีศุภอักษร กราบบังคลทูล ฯ ลงไปกรุงเทพ ฯ ว่า ได้เกลี้ยกล่อมได้พวกลาวพวน และผู้ไทย จากเมืองเชียงขวาง เมืองสุย เมืองสบแอก เมืองซำเหนือ เมืองบัว เมืองพาน เมืองส่วย เมืองแทน มีหลวงภักดี ฯ เป็นหัวหน้า สวามิภักดิ์และขอทำราชการขึ้นกับเมืองมุกดาหาร มีจำนวน ๑,๐๙๔ คน จึงให้พักตั้งครอบครัวอยู่ที่บ้านหนองแก้ว หาดเดือย ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ตรงข้ามอำเภอบึงกาฬ) ซึ่งเป็นเขตนครเวียงจันทน์เดิม จึงขอรับพระราชทานตั้งขึ้นเป็นเมือง ต่อมาจึงได้โปรดเกล้า ฯ ตั้งขึ้นเป็นเมืองประชุมพนาลัย ขึ้นกับเมืองมุกดาหาร ปัจจุบันลาวเรียกว่า เมืองประชุม
เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้จัดราชบรรณาการ มีต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน สูง ๙ ชั้น หนักต้นละ ๒ ตำลึง ๓ บาท พร้อมด้วย นรนาด ๑ ยอด งาช้าง ๑๒ กิ่ง สีผึ้งหนัก ๑๒ บาท กับเงินแทนผลเร่วส่วย เป็นราชบรรณาการของเมืองมุกดาหาร เสมือนหนึ่งเป็นประเทศราช ลงไปทูลเกล้า ฯ ถวายที่กรุงเทพ ฯ ทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๐ ต่อมาได้ยกเลิกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔
เมืองในภาคอีสานที่เคยถวายราชบรรณาการต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน มีอยู่สองเมืองคือ เมืองนครพนม และเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๑๒ พระพฤกษมนตรี (คำ) จางวางอุปฮาด (จีน) และราชบุตร (แท่ง) ได้นำคำฟ้องกล่าวโทษ เจ้าจันทรเทพ ฯ ถึง ๔๐ ข้อ ระบุความผิดว่า ได้เบียดเบียนประพฤติผิดในทำนองคลองธรรมของบ้านเมือง ราษฎรเดือดร้อน ต่อมาได้มีท้องตราพระราชสีห์มาถึงเมืองมุกดาหารว่า ให้เจ้าจันทรเทพ ฯ เจ้าเมือง เจ้าราชวงศ์ (เจ้าดวงเกษ) พระศรีวรราช (เจ้าดวงจันทร์) เจ้าเมืองท่าอุเทน ผู้เป็นบุตรลงไปสู้คดีความที่กรุงเทพ ฯ ตระลาการ เห็นว่ามีความผิดจริง สมควรถอดออกจากตำแหน่งทั้งสามคน แล้วให้ยึดตัวไว้ในกรุงเทพ ฯ ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้บรรดาศักดิ์ทั้งสามคน ลงมาใช้นามเดิม
พระจันทรสุริยวงษ์ (คำ) (พ.ศ.๒๔๑๓ - ๒๔๒๐) พระพฤกษมนตรี (คำ) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระจันทรสุริยวงษ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร ในปี พ.ศ.๒๔๑๓ นับเป็นเจ้าเมืองลำดับที่ห้า เป็นบุตรพระยาจันทสุริยวงษ์ (กิ่ง) เจ้าเมืองมุกดาหารลำดับที่สอง และยังคงพระราชทานเครื่องยศบรรดาศักดิ์ เสมอเหมือนเจ้าเมืองหัวเมืองชั้นเอก ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
ปี พ.ศ.๒๔๑๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ จากสมุหนายกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ สุวรรณภูมิ อุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร เขมราฐ เพชรบูรณ์ วิเชียร และหล่มสัก ว่าเนื่องจากทัพฮ่อยกมาตีเมืองเวียงจันทน์ และหนองคาย จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จ ฯ กรมพระบำราศปรปักษ์ เป็นเแม่ทัพใหญ่ยกออกจากกรุงเทพ ฯ จึงให้เกณฑ์กองทัพเมืองร้อยเอ็ด ๕,๐๐๐ เมืองสุวรรณภูมิ ๕,๐๐๐ เมืองกาฬสินธ์ ๔,๐๐๐ เมืองอุบลราชธานี ๑๐,๐๐๐ เมืองยโสธร ๕,๐๐๐ เมืองเขมราฐ ๔,๐๐๐ เมืองมุกดาหาร ๔,๐๐๐ รวม ๓๗,๐๐๐ คน ส่วนเมืองเพชรบูรณ์ ๔๐๐ ช้าง ๒๐ เชือก เมืองวิเชียร ๒๐๐ ช้าง ๑๕ เชือก เมืองหล่มสัก ๖๐๐ ช้าง ๒๐๐ เชือก โดยให้เตรียมทัพไว้ให้พร้อม
ในปลายปี พ.ศ.๒๔๑๘ พระยามหาอำมาตย์ เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ซึ่งขึ้นมาจัดราชการ และตั้งอยู่ ณ เมืองอุบลราชธานี ได้มีคำสั่งมายังหัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ให้จัดเตรียมเรือไว้ใช้ในราชการทัพ เพื่อเตรียมยกกองทัพทางเรือไปสมทบ กองทัพใหญ่ในการปราบฮ่อ โดยให้เตรียมขุดถากทำเรือไว้ให้ กว้าง ๔ วา ๕ ศอก ๖ คืบ คือ เมืองหนองคาย ๕๐ ลำ เมืองโพนพิสัย ๓๐ ลำ เมืองไชยบุรี ๒๐ ลำ เมืองท่าอุเทน ๑๕ ลำ เมืองนครพนม ๕๐ ลำ เมืองเขมราฐ ๔๐ ลำ เมืองมุกดาหาร ๔๐ ลำ รวม ๒๔๕ ลำ
พระจันทรสุริยวงษ์ (บุญเฮ้า) (พ.ศ.๒๔๒๑ - ๒๔๓๐) ได้รักษาราชการเมืองมุกดาหารอยู่สองปี จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรประทับพระราชลัญจกร ตั้งให้เป็นพระจันทรสุริยวงศ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร
ในปี พ.ศ.๒๔๒๕ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่มาถึงเจ้าเมืองมุกดาหารมีใจความว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๐ ให้ยกเมืองกุฉินารายณ์เมืองขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ มาขึ้นเมืองมุกดาหารนั้น บัดนี้เจ้าเมืองกาฬสินธุ์และเจ้าเมืองกุฉินารายณ์ได้ถึงแก่กรรมแล้วทั้งสองคน ท้าวกินรีผู้ว่าที่เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ ได้ขอกลับคืนไปขึ้นกับเมืองกาฬสินธุ์ตามเดิม
ในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ได้มีท้องตราพระราชสีห์ใหญ่ขึ้นมาถึงเมืองมุกดาหารว่าได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (หวน ศรีเพ็ญ) สมุหมหาดไทยฝ่ายเหนือ และข้าหลวงใหญ่ซึ่งมาจัดราชการอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นแม่ทัพยกขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองเขมราฐ ริมฝั่งโขง เนื่องจากเมื่อฝรั่งเศสได้ดินแดนญวนทางภาคใต้ แล้วบังคับให้ญวนทำสัญญา เพื่อจัดราชการบ้านเมืองตามสัญญาปี ค.ศ.๑๘๘๓ (พ.ศ.๒๔๒๖) แต่พระเจ้าแผ่นดินญวน พร้อมผู้สำเร็จราชการ ได้ระดมทหารถึงสามหมื่นคนมาตั้งอยู่ที่เมืองเว้แล้วเข้าทำร้ายนายพลฝรั่งเศส จุดไฟเผาทำลายค่ายทหารฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้จับผู้สำเร็จราชการและฆ่าทหารญวนตาย
๑,๒๐๐ คน พระเจ้าแผ่นดินญวนและเสนาบดีได้หลบหนีเข้ามาในพระราชอาณาเขต ได้หลบหนีเข้ามาทางเมืองลาดคำรั้ง เมืองลาวบาว แข้ามาหลบซ่อนทางเมืองวัง ที่บ้านดงม่วง เมื่อพบกำลังฝ่ายไทยยกออกไปสกัดกั้นจึงได้หลบหนีออกไปทางเมืองคำเกิดคำม่วน บ้านนาแป ข้ามเขาบรรทัดแล้วหนีออกไปเมืองต่งเหง่ (เมืองวินห์)
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๔ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้เริ่มเผยแพร่ออกสู่หัวเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งวัดศาสนาคริสต์ที่บ้านบุ่งกระแทง เมืองอุบล ฯ แล้วแผ่ขยายตามลำน้ำโขงที่เมืองสกลนคร (ท่าแร่) เมืองนครพนม (หนองแสง) และเมืองมุกดาหาร (สองคอน) บรรดาพวกทาสซึ่งส่วนมากเป็นพวกข่าและภูเทิง (ผู้ไทยผสมญวน) ได้ถูกชักชวนให้ไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ได้หลบหนีจากเจ้าเบี้ยนายเงินไปพึ่งพาอาศัยอยู่กับบาทหลวงเป็นจำนวนมาก เกิดมีปัญหาระหว่างนายเงินและตัวทาส ครั้นเจ้าของทาสไปร้องขอกับบาทหลวงก็ไม่ยอม
พระยาศศิวงษ์ประวัติ (เมฆ จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๓๐ - ๒๔๔๐) ราชบุตร (เมฆ) ได้เป็นผู้รักษาราชการเจ้าเมือง แทนหลังจากที่เจ้าเมืองคนก่อนถึงแก่กรรม และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔ และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระจันทรเทพสุริยวงษา เจ้าเมืองมุกดาหาร เป็นพระยาศศิวงษ์ประวัติ ตำแหน่งจางวางที่ปรึกษาราชการเมืองมุกดาหาร เนื่องจากเป็นเจ้าเมืองเก่า มีอายุมาก และได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองให้เหมือนกันหมดทั่วราชอาณาจักร ให้ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงษ์ ราชบุตร ตามธรรมเนียมโบราณ มาเป็นผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมือง
พระจันทรเทพสุริยวงษา (แสง จันทรสาขา) (พ.ศ.๒๔๔๑ - ๒๔๔๙) ราชวงษ์ (แสง) บุตรพระยาศศิวงษ์ประวัติ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระจันทรเทพสุริยวงษา ผู้ว่าราชการเมืองมุกดาหารคนแรก
ปี พ.ศ.๒๔๔๖ เมืองมุกดาหารมีสองอำเภอคืออำเภอเมือง ฯ และอำเภอเมืองหนองสูง ส่วนเมืองพาลุกากรภูมิถูกยุบลงเป็นหมู่บ้าน
ที่มา http://manussawee-story.blogspot.com/
ประวัติการเสียดินแดนของไทย 14 ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เกาะหมาก(ปีนัง)เสียให้กับประเทศอังกฤษ
เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๓๒๙ พื้นที่ ๓๗๕ ตร.กม. ในสมัย ร.๑ เกิดจาก พระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมากเพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป
ครั้งที่ 2 เสียเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้พม่า
พื้นที่ ๕๕,000 ตร.กม.ในรัชกาลที่ ๑ มังสัจจาเจ้าเมืองทวายเป็นไส้สึกให้พม่า เพราะไม่พอใจที่กองทัพไทยเข้ายึดครอง และไทยไม่สามารถตีคืนกลับมาได้
ครั้งที่ ๓ บันทายมาศ(ฮาเตียน)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๒
ครั้งที่ ๔ แสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่า
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๘ พื้นที่ ๖๒,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ ๓ แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ ๒๐ ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และ เกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้(กลันตัน ไทรบุรี)
ครั้งที่ ๕ รัฐเปรัค ให้กับอังกฤษ
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นการสูญเสียที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง ๑ ปี
ครั้งที่ ๖ สิบสองปันนา ให้กับจีน
เมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๓๙๗ พื้นที่ ๙๐,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ ๑ ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูนไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง)แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่ พร้อมเพรียงกัน มาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท(ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป
ครั้งที่ ๗ เขมรและเกาะ ๖ เกาะ ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ พื้นที่ ๑๒๔,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๔ ฝรั่งเศสบังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดนเขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจากฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ ๑๕ มกราคม ๒๔๓๘ โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับการดำเนินนโยบายของ ร.๕ ที่ไปประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทยฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป
ครั้งที่ ๘ สิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๓๑ พื้นที่ ๘๗,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ ๕ พวกฮ่อ ก่อกบฏ ไทยจัดกำลังไปปราบ ๒ กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้วก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุดไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง(เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเมืองเชียงค้อ
ครั้งที่ ๙ ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ให้กับประเทศอังกฤษ
ใน สมัย รัชกาลที่ ๕ ในห้วงปี ๒๔๓๓ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
ครั้งที่ ๑๐ ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ พื้นที่ ๑๔๓,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๕
เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญาไทยกับฝรั่งเศส
เท่า นั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย ๑ ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก ๓ ล้านบาท และยังไม่พอฝรั่งเศสได้ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง ๑๕ ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขายเครื่อง แต่งกายเพื่อนำเงินมาถวาย ร.๕ เป็นค่าปรับ ร.๕ ต้องนำถุงแดง(เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้
ครั้งที่ ๑๑ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่าน,จำปาศักดิ์,มโนไพร)ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ พื้นที่ ๒๕,๕๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๕
ไทย ทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรีแล้วไปยึดเมืองตราดแทนอีก ๕ ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้วยังลุกล้ำย้านนาดี,ด่านซ้าน จ.เลย
และยังได้เอาศิลาจารึกที่พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย
ครั้งที่ ๑๒ มลฑลบูรพา(พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อปี ๒๔๔๙ พื้นที่ ๕๑,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕
ไทย ได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ ๖ กรกฎาคม ๒๔๕๐ กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย
ครั้งที่ ๑๓ รัฐกลันตัน,ตรังกานู,ไทรบุรี,ปริส ให้กับอังกฤษ เมื่อ ๓๐ มีนาคม ๒๔๕๑ พื้นที่ ๘๐,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕ ไทยได้ทำสัญญากับอังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในไทย
ครั้งที่ ๑๔ เขาพระวิหาร ให้กับเขมร
เมื่อ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ พื้นที่ ๒ ตร.กม. ในสมัย ร.๙
ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจากหลักฐานสำคัญของเขมร
ใน สมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเขาพระวิหาร จึงไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
ที่มา http://www.unigang.com/Article/4827
เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๓๒๙ พื้นที่ ๓๗๕ ตร.กม. ในสมัย ร.๑ เกิดจาก พระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมากเพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป
ครั้งที่ 2 เสียเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้พม่า
พื้นที่ ๕๕,000 ตร.กม.ในรัชกาลที่ ๑ มังสัจจาเจ้าเมืองทวายเป็นไส้สึกให้พม่า เพราะไม่พอใจที่กองทัพไทยเข้ายึดครอง และไทยไม่สามารถตีคืนกลับมาได้
ครั้งที่ ๓ บันทายมาศ(ฮาเตียน)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๒
ครั้งที่ ๔ แสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่า
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๘ พื้นที่ ๖๒,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ ๓ แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ ๒๐ ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และ เกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้(กลันตัน ไทรบุรี)
ครั้งที่ ๕ รัฐเปรัค ให้กับอังกฤษ
เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นการสูญเสียที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง ๑ ปี
ครั้งที่ ๖ สิบสองปันนา ให้กับจีน
เมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๓๙๗ พื้นที่ ๙๐,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ ๑ ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูนไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง)แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่ พร้อมเพรียงกัน มาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท(ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป
ครั้งที่ ๗ เขมรและเกาะ ๖ เกาะ ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ พื้นที่ ๑๒๔,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๔ ฝรั่งเศสบังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดนเขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจากฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ ๑๕ มกราคม ๒๔๓๘ โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับการดำเนินนโยบายของ ร.๕ ที่ไปประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทยฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป
ครั้งที่ ๘ สิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๓๑ พื้นที่ ๘๗,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ ๕ พวกฮ่อ ก่อกบฏ ไทยจัดกำลังไปปราบ ๒ กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้วก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุดไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง(เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเมืองเชียงค้อ
ครั้งที่ ๙ ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ให้กับประเทศอังกฤษ
ใน สมัย รัชกาลที่ ๕ ในห้วงปี ๒๔๓๓ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
ครั้งที่ ๑๐ ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ พื้นที่ ๑๔๓,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๕
เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญาไทยกับฝรั่งเศส
เท่า นั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย ๑ ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก ๓ ล้านบาท และยังไม่พอฝรั่งเศสได้ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง ๑๕ ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขายเครื่อง แต่งกายเพื่อนำเงินมาถวาย ร.๕ เป็นค่าปรับ ร.๕ ต้องนำถุงแดง(เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้
ครั้งที่ ๑๑ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่าน,จำปาศักดิ์,มโนไพร)ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ พื้นที่ ๒๕,๕๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๕
ไทย ทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรีแล้วไปยึดเมืองตราดแทนอีก ๕ ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้วยังลุกล้ำย้านนาดี,ด่านซ้าน จ.เลย
และยังได้เอาศิลาจารึกที่พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย
ครั้งที่ ๑๒ มลฑลบูรพา(พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ)ให้กับฝรั่งเศส เมื่อปี ๒๔๔๙ พื้นที่ ๕๑,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕
ไทย ได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ ๖ กรกฎาคม ๒๔๕๐ กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย
ครั้งที่ ๑๓ รัฐกลันตัน,ตรังกานู,ไทรบุรี,ปริส ให้กับอังกฤษ เมื่อ ๓๐ มีนาคม ๒๔๕๑ พื้นที่ ๘๐,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย ร.๕ ไทยได้ทำสัญญากับอังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในไทย
ครั้งที่ ๑๔ เขาพระวิหาร ให้กับเขมร
เมื่อ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ พื้นที่ ๒ ตร.กม. ในสมัย ร.๙
ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจากหลักฐานสำคัญของเขมร
ใน สมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเขาพระวิหาร จึงไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
ที่มา http://www.unigang.com/Article/4827
ประวัติพระพุทธศาสนา
ความหมาย
พระพุทธศาสนา (Buddhism) คือ ศาสนาที่ถือว่าธรรมะเป็นความจริงสากล ที่ใครก็ตามหากสิ้นกิเลสก็จะพลได้ด้วยตนเอง แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้ และสามารถตั้งพุทธบริษัทปัจจุบันขึ้นได้ คือ พระพุทธโคตม ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในบรรดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายที่ได้เคยตั้งพุทธบริษัทมาแล้ว และที่จะตั้งต่อไปในอนาคต ยังมีพระพุทธเจ้าอีกมากที่ตรัสรู้แต่ไม่มีบารมีพอให้ตั้งพุทธบริษัทได้ จึงให้ผลเฉพาะตัวเรียกว่า ปัจเจกพุทธเจ้า
จึงเห็นได้ว่า จากความสำนึกดังกล่าวข้างต้น ทำให้ชาวพุทธมีใจกว้าง เพราะถือเสียว่าธรรมะมิได้มีในพระพุทธศาสนาของพระโคตมเท่านั้น แต่คนดีทั้งหลายก็อาจจะพบธรรมะบางข้อได้ และแม้แต่ชาวพุทธเอง พระพุทธเจ้าก็ทรงปรารถนาให้แสวงหาและเข้าใจธรรมะด้วยตนเอง พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง คือ ผู้ช่วยเกื้อกูลให้แต่ละคนสามารถพึ่งตนเองในที่สุด "ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง" อาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนิกที่แท้จริง คือ ผู้ที่แสวงหาธรรมะด้วยตนเองและพบธรรมะด้วยตนเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พยายามพัฒนาธาตุพุทธะในตัวเอง
ลักษณะคำสอนของพระพุทธศาสนา
ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา คือ เป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ กล่าวคือ เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทั้งความเป็นจริงและข้อธรรมได้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ เช่น วิเคราะห์จิตได้ละเอียดลอออย่างน่าอัศจรรย์ใจ วิเคราะห์ธรรมะออกเป็นข้อ ๆ อย่างละเอียดสุขุมและประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบที่แน่นแฟ้น หากจะพยายามอธิบายธรรมะข้อใดสักข้อหนึ่ง ก็จะต้องอ้างถึงธรรมะข้ออื่นๆ เกี่ยวโยงไปทั้งระบบ วิธีการวิเคราะห์ธรรมะอย่างนี้ บางสำนักของศาสนาฮินดูได้เคยทำมาบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เด่นชัดอย่างธรรมะที่สอนกันในพระพุทธศาสนา จึงควรยกย่องได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ และเมื่อกล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาไม่สนใจด้านอื่นๆ ทั้งมิได้หมายความเลยไปถึงว่าศาสนาอื่นๆ ไม่รู้จักวิเคราะห์ หามิได้ ต้องการหมายเพียงแต่ว่าพระพุทธศาสนาเด่นกว่าศาสนาอื่นๆ ในด้านวิเคราะห์เท่านั้น และถ้าหากศาสนาต่างๆ จะพึ่งพาอาศัยกันและกันก็พระพุทธศาสนานี่แหละสามารถให้ตัวอย่างในการวิเคราะห์ข้อธรรมะได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะบริการด้านอื่นๆ ที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเด่นชัด เช่น ศาสนาพราหมณ์ในเรื่องจารีตพิธีกรรม ศาสนาอิสลามในเรื่องกฎหมาย เป็นต้น แต่ทั้งนี้แล้วแต่ว่าสมาชิกแต่ละคนของแต่ละศาสนาจะสนใจร่วมมือกันในทางศาสนามากน้อยเพียงใด
บ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
แม้ชาวพุทธจะมีความสำนึกว่า สัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีมาแล้วมากมายในอดีต และจะมีอีกมากมายต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม คำสอนของอดีตพระพุทธเจ้าไม่เหลือหลักฐานไว้ให้ศึกษาได้อีกแล้ว ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะมาในอนาคตก็ยังไม่มีใครรู้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันจึงมาจากคำสอนของพระพุทธโคตมแต่องค์เดียว คำสอนของนักปราชญ์อื่นๆ ทั้งในและนอกพระพุทธศาสนา อาจจะเสริมความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่ไม่อาจจะถือว่าเป็นบ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนไว้ว่า ความรู้ที่พระองค์ทรงรู้จากการตรัสรู้นั้นมีมากราวกับใบไม้ทั้งป่า แต่ที่พระองค์นำมาสอนสาวกนั้นมีปริมาณเทียบได้กับใบไม้เพียงกำมือเดียว พระองค์ไม่อาจจะสอนได้มากกว่าที่ได้ทรงสอนไว้ ดังนั้น หากมีปัญหาขัดแย้งเกิดขึ้น ให้ตกลงกันด้วยสังคายนา (ร้องร่วมกัน) คือ ประชุมและลงมติร่วมกัน ส่วนในเรื่องธรรมวินัยปลีกย่อย หากจำเป็นก็ให้ประชุมตกลงปรับปรุงได้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่งก็คือสังคายนา สังคายนาจึงกลายเป็นเครื่องมือให้เกิดการยอมรับร่วมกันในหมู่ผู้ยอมรับสังคายนาเดียวกัน แต่ก็เป็นทางให้เกิดการแตกนิกายโดยไม่ยอมรับสังคายนาร่วมกัน นิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้น เพราะการยอมรับสังคายนาต่างกัน และนิกายต่างกันนั้นก็ยอมรับคัมภีร์และอรรถกถาที่ใช้ตีความคัมภีร์ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธแม้จะต่างนิกายกันก็ถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน ทำบุญร่วมกันได้ และร่วมมือในกิจการต่างๆ ได้ ผู้ใดนับถือพระพุทธเจ้าและแม้จะนับถือสิ่งอื่นด้วย เช่น พระพรหม พระอินทร์ ไหว้เจ้า หรือภูตผีต่างๆ ก็ยังถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน มิได้มีความรังเกียจเดียดฉันกันแต่ประการใด ดังนั้น การที่จะมีบ่อเกิดเพิ่มเติมแตกต่างกันไปบ้าง ตราบใดที่ยังยอมรับพระไตรปิฎกร่วมกันเป็นส่วนมาก ก็ไม่ถือว่าต้องแตกแยกกัน
คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน สาวกผู้ได้เคยสดับฟังคำสั่งสอนของพระองค์จำนวน 500 รูป ก็ประชุมทำสังคายนากัน ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา ใกล้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ สอบปากคำกันอยู่ 7 เดือน จึงตกลงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นี่คือบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎก ต่อมาเมื่อมีปัญหาขัดแย้ง พระเถระผู้ใหญ่ก็ประชุมขจัดข้อขัดแย้งกัน เป็นสังคายนาต่อมาอีกหลายครั้ง จนได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทดังที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่นับว่าใกล้เคียงที่สุด
เนื่องจากภาษามคธที่ใช้บันทึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ครั้นกาลเวลาล่วงไปก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษาโบราณ ยากที่จะเข้าใจได้ทันทีสำหรับนักศึกษารุ่นหลังๆ จึงได้มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ชี้แจงความหมายเรียกว่า อรรถกถา เมื่อนักศึกษารู้สึกว่าอรรถกถายังไม่ชัดเจนก็มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ฎีกาขึ้นชี้แจงความหมาย และมีอนุฎีกาสำหรับชี้แจงความหมายของฎีกาอีกต่อหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะปัญหาก็นิพนธ์ชี้แจงเฉพาะปัญหาขึ้นเรียกว่า ปกรณ์ เหล่านี้ถือว่าเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่ทว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าพระไตรปิฎก เพราะถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ตีความ นักศึกษาจะเห็นกับบางคัมภีร์ และไม่เห็นด้วยกับบางคัมภีร์ก็ได้ ไม่ถือว่ามีความเป็นพุทธศาสนิกมากน้อยกว่ากันเพราะเรื่องนี้
นิกายมหายาน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้" (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) ทำให้เกิดมีปัญหาว่า แค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้พระภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับหลายสังคายนา มีกลุ่มที่แยกตัวทำสังคายนาต่างหาก เป็นการแตกแยกทางลัทธิและนิกาย และไม่ควรถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด ไม่อาจกำหนดได้แน่ชัดลงไปว่า พระพุทธศาสนานิกายมหายานเริ่มถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ที่แน่ชัดก็คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ (ศต.1 แห่งคริสต์ศักราช) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกองค์แรกของนิกายมหายาน ได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานลงมั่นคงในราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศ เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกของฝ่ายเถรวาท
ฝ่ายมหายานมิได้ปฎิเสธพระไตรปิฎก หากแต่ถือว่ายังไม่พอ เนื่องจากเกิดมีความสำนึกร่วมขึ้นมาว่า นามและรูปของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ ไม่อาจดับสูญ สิ่งที่ดับสูญไปโดยการเผาเป็นเพียงภาพมายา พระธรรมกายของพระองค์อันเป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังคงอยู่ต่อไป มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ปรากฏ กิเลสเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากได้ฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเมตตาบารมี พระโพธิสัตว์จึงมีมากมาย พระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมเสริมงานของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก เมื่อสำนึกเช่นนี้ ฝ่ายมหายานจึงมีคัมภีร์ในระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นอีกมากและอาจจะเพิ่มต่อไปได้อีก หากยอมรับหรือมีศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึกและการแสดงออกก็ย่อมจะผิดเพี้ยนกันออกไปได้ ทำให้มีลัทธิต่างๆ มากมายในนิกายมหายาน และอาจจะเกิดใหม่ต่อไปได้อีก แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าเกิดการแตกแยกในศาสนาหรือนิกาย เพราะทุกลัทธิย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนามหายาน ด้วยเหตุผลเช่นนี้แหละฝ่ายมหายานจึงภูมิใจว่านิกายของตนใจกว้าง เป็นยานใหญ่ สามารถบรรทุกคนได้มาก และบันดาลใจให้ผู้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญเมตตาบารมีได้อย่างกว้างขวาง อย่างที่มูลนิธิหัวเฉียวแห่งประเทศไทยพิสูจน์ตัวเองให้เห็นอยู่
การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนา
ผู้ใดสนใจคงได้ศึกษาตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนามาแล้วไม่มากก็น้อย จนพอจะสังเกตได้ว่า เมื่อกล่าวถึงธรรมะข้อใดในพระพุทธศาสนา ก็มักจะไม่กล่าวลอยๆ แต่จะต้องมีจำนวนเลขกำกับแสดงการวิเคราะห์หรือการจำแนกธรรมด้วยเสมอ เช่น อริยสัจ 4, มรรค 8, ศีล 5, ศีล 8, ศีล 10, ศีล 227, มงคล 38, กรรมฐาน 40, เจตสิก 52, จิต 89, จิต121 เป็นต้น
ให้สังเกตด้วยว่า การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนานั้นมิได้วิเคราะห์ชั้นเดียวแล้วจบ แต่มีการวิเคราะห์ต่อๆ ไปอีกหลายชั้นหลายเชิงเกี่ยวโยงกันทั้งหมด ไม่ใช่เหมือนสายโซ่ แต่เหมือนอวนผืนใหญ่ที่ตาทุกตาของอวนมีสายโยงถึงกันได้ทั้งหมด จะขอยกให้ดูเป็นตัวอย่างการศึกษาเท่านั้น เช่น การวิเคราะห์จิต และเจตสิก เป็นต้น ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการมองตน รู้ตน และพัฒนาตน ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ธรรมะเรื่องใดเพิ่มเติมอีกเท่าใดก็ได้ตามความต้องการ
ชีวประวัติของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ตรัสรู้ถึงปรินิพพานเป็นระยะเวลา 45 พรรษา พระองค์จาริกไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ในชมพูทวีปตอนเหนือ เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระองค์ พร้อมทั้งอบรมสาวกตั้งพุทธบริษัทขึ้นอย่างมั่งคั่ง ยากที่จะเรียงลำดับได้ว่าปีใดพระองค์เสด็จไป ณ ที่ใดและทรงสั่งสอนอะไรบ้าง เท่าที่นักวิจารณ์ได้พยายามวิจัยไว้พอจะเรียบเรียงได้ตามช่วงการเข้าพรรษาของพระองค์ในที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
พรรษาที่ 1 ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ณ คืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (กลางเดือน 6) 2 เดือนต่อมา คือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ (กลางเดือน 8) ทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ (คณะ 5 คน) ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ด้วยธรรมจักกัปปวัตนสูนร ต่อมาอีก 5 วันทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตร วันต่อมาได้พระยสเป็นสาวก ทรงจำพรรษาที่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐอุตรประเทศ)
พรรษาที่ 2 เสด็จเสนานิคม ในตำบลอุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ กับศิษย์ 1000 คน ตรัสอาทิตตปริยายสูตรที่คยาสีสะ เสด็จราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ กษัตริย์เสนิยะพิมพสารทรงถวายสวนเวฬุวันแต่พระสงฆ์ ได้สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก 2 เดือนต่อมา เสด็จกบิลพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธารามได้สาวกมากมาย เช่น นันทะ ราหุล อานนท์ อุบาลี เทวทัต และพระญาติอื่นๆ อนาถปิณฑิกะอาราธนาสู่กรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ถวายสวนเชตะวันแด่คณะสงฆ์ ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 3 นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 4 ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ
พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหัตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหินี ทรงบวชพระนางปชาบดีโคตมีและคณะเป็นภิกษุณี
พรรษาที่ 6 ทรงแสดงยมกปาฎิหาริย์ในกรุงาสวัตถี ทรงจำพรรษาบนภูเขามังกลุบรรพต
พรรษาที่ 7 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โปรดพระมารดาด้วยพระอภิธรรม
พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแคว้นภัคคะ ทรงจำพรรษาในสวนเภสกลาวัน
พรรษาที่ 9 ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี
พรรษาที่ 10 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกอย่างรุนแรง ทรงตักเตือนไม่เชื่อฟัง จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิเลยยกะ ช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา
พรรษาที่ 11 เสด็จกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
พรรษาที่ 12 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา เกิดความอดอยากรุนแรง
พรรษาที่ 13 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถึ ราหุลอุปสมบท
พรรษาที่ 15 เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ สุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางผ่าน
พรรษาที่ 16 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี
พรรษาที่ 17 เสด็จกรุงสาวัตถี กลับมาอาลวีและทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ 18 เสด็จอาลวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 19 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 20 โจรองคุลีมาลกลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ ทรงเริ่มบัญญัติพระวินัย
พรรษาที่ 21-44 ทรงยึดเอาเชตะวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์เผยแผ่และที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ โดยรอบ
พรรษาที่ 45 และสุดท้าย ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร มหาสุทัสนสูตร และชนวสภสูตร ความว่า พระเทวทัตปองร้ายพระพุทธเจ้าบริเวณเขาคิชฌกูฎใกล้กรุงราชคฤห์ ถึงกับพระบาทห้อโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวก วัสสการเข้าเผ้า เสด็จอัมพลัฎฐิกา นาลันทา และปาฎลิคามตามลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่โตมดิตถ์ เสด็จต่อไปยังโกฎิคาม นาทิคาม และเวสาลี ทรงพำนักในสวนของนางคณิกาอัมพปาลี เสด็จจำพรรษาที่เวฬุวัน ทรงเริ่มประชวร และ 3 เดือนต่อมาเสด็จสู่ปรินิพพานในเมืองกุสินาราแห่งแคว้นมัลละ
ที่มา http://www.dhammathai.org/buddhism/buddhismhistory.php
พระพุทธศาสนา (Buddhism) คือ ศาสนาที่ถือว่าธรรมะเป็นความจริงสากล ที่ใครก็ตามหากสิ้นกิเลสก็จะพลได้ด้วยตนเอง แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้ และสามารถตั้งพุทธบริษัทปัจจุบันขึ้นได้ คือ พระพุทธโคตม ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในบรรดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายที่ได้เคยตั้งพุทธบริษัทมาแล้ว และที่จะตั้งต่อไปในอนาคต ยังมีพระพุทธเจ้าอีกมากที่ตรัสรู้แต่ไม่มีบารมีพอให้ตั้งพุทธบริษัทได้ จึงให้ผลเฉพาะตัวเรียกว่า ปัจเจกพุทธเจ้า
จึงเห็นได้ว่า จากความสำนึกดังกล่าวข้างต้น ทำให้ชาวพุทธมีใจกว้าง เพราะถือเสียว่าธรรมะมิได้มีในพระพุทธศาสนาของพระโคตมเท่านั้น แต่คนดีทั้งหลายก็อาจจะพบธรรมะบางข้อได้ และแม้แต่ชาวพุทธเอง พระพุทธเจ้าก็ทรงปรารถนาให้แสวงหาและเข้าใจธรรมะด้วยตนเอง พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง คือ ผู้ช่วยเกื้อกูลให้แต่ละคนสามารถพึ่งตนเองในที่สุด "ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง" อาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนิกที่แท้จริง คือ ผู้ที่แสวงหาธรรมะด้วยตนเองและพบธรรมะด้วยตนเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พยายามพัฒนาธาตุพุทธะในตัวเอง
ลักษณะคำสอนของพระพุทธศาสนา
ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา คือ เป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ กล่าวคือ เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทั้งความเป็นจริงและข้อธรรมได้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ เช่น วิเคราะห์จิตได้ละเอียดลอออย่างน่าอัศจรรย์ใจ วิเคราะห์ธรรมะออกเป็นข้อ ๆ อย่างละเอียดสุขุมและประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบที่แน่นแฟ้น หากจะพยายามอธิบายธรรมะข้อใดสักข้อหนึ่ง ก็จะต้องอ้างถึงธรรมะข้ออื่นๆ เกี่ยวโยงไปทั้งระบบ วิธีการวิเคราะห์ธรรมะอย่างนี้ บางสำนักของศาสนาฮินดูได้เคยทำมาบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เด่นชัดอย่างธรรมะที่สอนกันในพระพุทธศาสนา จึงควรยกย่องได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ และเมื่อกล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาไม่สนใจด้านอื่นๆ ทั้งมิได้หมายความเลยไปถึงว่าศาสนาอื่นๆ ไม่รู้จักวิเคราะห์ หามิได้ ต้องการหมายเพียงแต่ว่าพระพุทธศาสนาเด่นกว่าศาสนาอื่นๆ ในด้านวิเคราะห์เท่านั้น และถ้าหากศาสนาต่างๆ จะพึ่งพาอาศัยกันและกันก็พระพุทธศาสนานี่แหละสามารถให้ตัวอย่างในการวิเคราะห์ข้อธรรมะได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะบริการด้านอื่นๆ ที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเด่นชัด เช่น ศาสนาพราหมณ์ในเรื่องจารีตพิธีกรรม ศาสนาอิสลามในเรื่องกฎหมาย เป็นต้น แต่ทั้งนี้แล้วแต่ว่าสมาชิกแต่ละคนของแต่ละศาสนาจะสนใจร่วมมือกันในทางศาสนามากน้อยเพียงใด
บ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
แม้ชาวพุทธจะมีความสำนึกว่า สัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีมาแล้วมากมายในอดีต และจะมีอีกมากมายต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม คำสอนของอดีตพระพุทธเจ้าไม่เหลือหลักฐานไว้ให้ศึกษาได้อีกแล้ว ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะมาในอนาคตก็ยังไม่มีใครรู้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันจึงมาจากคำสอนของพระพุทธโคตมแต่องค์เดียว คำสอนของนักปราชญ์อื่นๆ ทั้งในและนอกพระพุทธศาสนา อาจจะเสริมความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่ไม่อาจจะถือว่าเป็นบ่อเกิดของพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนไว้ว่า ความรู้ที่พระองค์ทรงรู้จากการตรัสรู้นั้นมีมากราวกับใบไม้ทั้งป่า แต่ที่พระองค์นำมาสอนสาวกนั้นมีปริมาณเทียบได้กับใบไม้เพียงกำมือเดียว พระองค์ไม่อาจจะสอนได้มากกว่าที่ได้ทรงสอนไว้ ดังนั้น หากมีปัญหาขัดแย้งเกิดขึ้น ให้ตกลงกันด้วยสังคายนา (ร้องร่วมกัน) คือ ประชุมและลงมติร่วมกัน ส่วนในเรื่องธรรมวินัยปลีกย่อย หากจำเป็นก็ให้ประชุมตกลงปรับปรุงได้ ดังนั้น บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่งก็คือสังคายนา สังคายนาจึงกลายเป็นเครื่องมือให้เกิดการยอมรับร่วมกันในหมู่ผู้ยอมรับสังคายนาเดียวกัน แต่ก็เป็นทางให้เกิดการแตกนิกายโดยไม่ยอมรับสังคายนาร่วมกัน นิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้น เพราะการยอมรับสังคายนาต่างกัน และนิกายต่างกันนั้นก็ยอมรับคัมภีร์และอรรถกถาที่ใช้ตีความคัมภีร์ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธแม้จะต่างนิกายกันก็ถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน ทำบุญร่วมกันได้ และร่วมมือในกิจการต่างๆ ได้ ผู้ใดนับถือพระพุทธเจ้าและแม้จะนับถือสิ่งอื่นด้วย เช่น พระพรหม พระอินทร์ ไหว้เจ้า หรือภูตผีต่างๆ ก็ยังถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน มิได้มีความรังเกียจเดียดฉันกันแต่ประการใด ดังนั้น การที่จะมีบ่อเกิดเพิ่มเติมแตกต่างกันไปบ้าง ตราบใดที่ยังยอมรับพระไตรปิฎกร่วมกันเป็นส่วนมาก ก็ไม่ถือว่าต้องแตกแยกกัน
คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน สาวกผู้ได้เคยสดับฟังคำสั่งสอนของพระองค์จำนวน 500 รูป ก็ประชุมทำสังคายนากัน ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา ใกล้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ สอบปากคำกันอยู่ 7 เดือน จึงตกลงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นี่คือบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎก ต่อมาเมื่อมีปัญหาขัดแย้ง พระเถระผู้ใหญ่ก็ประชุมขจัดข้อขัดแย้งกัน เป็นสังคายนาต่อมาอีกหลายครั้ง จนได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทดังที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่นับว่าใกล้เคียงที่สุด
เนื่องจากภาษามคธที่ใช้บันทึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ครั้นกาลเวลาล่วงไปก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษาโบราณ ยากที่จะเข้าใจได้ทันทีสำหรับนักศึกษารุ่นหลังๆ จึงได้มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ชี้แจงความหมายเรียกว่า อรรถกถา เมื่อนักศึกษารู้สึกว่าอรรถกถายังไม่ชัดเจนก็มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ฎีกาขึ้นชี้แจงความหมาย และมีอนุฎีกาสำหรับชี้แจงความหมายของฎีกาอีกต่อหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะปัญหาก็นิพนธ์ชี้แจงเฉพาะปัญหาขึ้นเรียกว่า ปกรณ์ เหล่านี้ถือว่าเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่ทว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าพระไตรปิฎก เพราะถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ตีความ นักศึกษาจะเห็นกับบางคัมภีร์ และไม่เห็นด้วยกับบางคัมภีร์ก็ได้ ไม่ถือว่ามีความเป็นพุทธศาสนิกมากน้อยกว่ากันเพราะเรื่องนี้
นิกายมหายาน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้" (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) ทำให้เกิดมีปัญหาว่า แค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้พระภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับหลายสังคายนา มีกลุ่มที่แยกตัวทำสังคายนาต่างหาก เป็นการแตกแยกทางลัทธิและนิกาย และไม่ควรถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด ไม่อาจกำหนดได้แน่ชัดลงไปว่า พระพุทธศาสนานิกายมหายานเริ่มถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ที่แน่ชัดก็คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ (ศต.1 แห่งคริสต์ศักราช) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกองค์แรกของนิกายมหายาน ได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานลงมั่นคงในราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศ เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกของฝ่ายเถรวาท
ฝ่ายมหายานมิได้ปฎิเสธพระไตรปิฎก หากแต่ถือว่ายังไม่พอ เนื่องจากเกิดมีความสำนึกร่วมขึ้นมาว่า นามและรูปของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ ไม่อาจดับสูญ สิ่งที่ดับสูญไปโดยการเผาเป็นเพียงภาพมายา พระธรรมกายของพระองค์อันเป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังคงอยู่ต่อไป มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ปรากฏ กิเลสเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากได้ฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเมตตาบารมี พระโพธิสัตว์จึงมีมากมาย พระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมเสริมงานของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก เมื่อสำนึกเช่นนี้ ฝ่ายมหายานจึงมีคัมภีร์ในระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นอีกมากและอาจจะเพิ่มต่อไปได้อีก หากยอมรับหรือมีศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึกและการแสดงออกก็ย่อมจะผิดเพี้ยนกันออกไปได้ ทำให้มีลัทธิต่างๆ มากมายในนิกายมหายาน และอาจจะเกิดใหม่ต่อไปได้อีก แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าเกิดการแตกแยกในศาสนาหรือนิกาย เพราะทุกลัทธิย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนามหายาน ด้วยเหตุผลเช่นนี้แหละฝ่ายมหายานจึงภูมิใจว่านิกายของตนใจกว้าง เป็นยานใหญ่ สามารถบรรทุกคนได้มาก และบันดาลใจให้ผู้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญเมตตาบารมีได้อย่างกว้างขวาง อย่างที่มูลนิธิหัวเฉียวแห่งประเทศไทยพิสูจน์ตัวเองให้เห็นอยู่
การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนา
ผู้ใดสนใจคงได้ศึกษาตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนามาแล้วไม่มากก็น้อย จนพอจะสังเกตได้ว่า เมื่อกล่าวถึงธรรมะข้อใดในพระพุทธศาสนา ก็มักจะไม่กล่าวลอยๆ แต่จะต้องมีจำนวนเลขกำกับแสดงการวิเคราะห์หรือการจำแนกธรรมด้วยเสมอ เช่น อริยสัจ 4, มรรค 8, ศีล 5, ศีล 8, ศีล 10, ศีล 227, มงคล 38, กรรมฐาน 40, เจตสิก 52, จิต 89, จิต121 เป็นต้น
ให้สังเกตด้วยว่า การวิเคราะห์ข้อธรรมในพระพุทธศาสนานั้นมิได้วิเคราะห์ชั้นเดียวแล้วจบ แต่มีการวิเคราะห์ต่อๆ ไปอีกหลายชั้นหลายเชิงเกี่ยวโยงกันทั้งหมด ไม่ใช่เหมือนสายโซ่ แต่เหมือนอวนผืนใหญ่ที่ตาทุกตาของอวนมีสายโยงถึงกันได้ทั้งหมด จะขอยกให้ดูเป็นตัวอย่างการศึกษาเท่านั้น เช่น การวิเคราะห์จิต และเจตสิก เป็นต้น ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการมองตน รู้ตน และพัฒนาตน ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ธรรมะเรื่องใดเพิ่มเติมอีกเท่าใดก็ได้ตามความต้องการ
ชีวประวัติของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ตรัสรู้ถึงปรินิพพานเป็นระยะเวลา 45 พรรษา พระองค์จาริกไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ในชมพูทวีปตอนเหนือ เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระองค์ พร้อมทั้งอบรมสาวกตั้งพุทธบริษัทขึ้นอย่างมั่งคั่ง ยากที่จะเรียงลำดับได้ว่าปีใดพระองค์เสด็จไป ณ ที่ใดและทรงสั่งสอนอะไรบ้าง เท่าที่นักวิจารณ์ได้พยายามวิจัยไว้พอจะเรียบเรียงได้ตามช่วงการเข้าพรรษาของพระองค์ในที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
พรรษาที่ 1 ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ณ คืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (กลางเดือน 6) 2 เดือนต่อมา คือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ (กลางเดือน 8) ทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ (คณะ 5 คน) ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ด้วยธรรมจักกัปปวัตนสูนร ต่อมาอีก 5 วันทรงเทศนาโปรดเบญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตร วันต่อมาได้พระยสเป็นสาวก ทรงจำพรรษาที่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐอุตรประเทศ)
พรรษาที่ 2 เสด็จเสนานิคม ในตำบลอุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ กับศิษย์ 1000 คน ตรัสอาทิตตปริยายสูตรที่คยาสีสะ เสด็จราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ กษัตริย์เสนิยะพิมพสารทรงถวายสวนเวฬุวันแต่พระสงฆ์ ได้สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก 2 เดือนต่อมา เสด็จกบิลพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธารามได้สาวกมากมาย เช่น นันทะ ราหุล อานนท์ อุบาลี เทวทัต และพระญาติอื่นๆ อนาถปิณฑิกะอาราธนาสู่กรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ถวายสวนเชตะวันแด่คณะสงฆ์ ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 3 นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ 4 ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ
พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหัตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหินี ทรงบวชพระนางปชาบดีโคตมีและคณะเป็นภิกษุณี
พรรษาที่ 6 ทรงแสดงยมกปาฎิหาริย์ในกรุงาสวัตถี ทรงจำพรรษาบนภูเขามังกลุบรรพต
พรรษาที่ 7 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โปรดพระมารดาด้วยพระอภิธรรม
พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแคว้นภัคคะ ทรงจำพรรษาในสวนเภสกลาวัน
พรรษาที่ 9 ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี
พรรษาที่ 10 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกอย่างรุนแรง ทรงตักเตือนไม่เชื่อฟัง จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิเลยยกะ ช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา
พรรษาที่ 11 เสด็จกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
พรรษาที่ 12 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา เกิดความอดอยากรุนแรง
พรรษาที่ 13 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถึ ราหุลอุปสมบท
พรรษาที่ 15 เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ สุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางผ่าน
พรรษาที่ 16 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี
พรรษาที่ 17 เสด็จกรุงสาวัตถี กลับมาอาลวีและทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ 18 เสด็จอาลวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 19 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ 20 โจรองคุลีมาลกลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ ทรงเริ่มบัญญัติพระวินัย
พรรษาที่ 21-44 ทรงยึดเอาเชตะวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์เผยแผ่และที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ โดยรอบ
พรรษาที่ 45 และสุดท้าย ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร มหาสุทัสนสูตร และชนวสภสูตร ความว่า พระเทวทัตปองร้ายพระพุทธเจ้าบริเวณเขาคิชฌกูฎใกล้กรุงราชคฤห์ ถึงกับพระบาทห้อโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวก วัสสการเข้าเผ้า เสด็จอัมพลัฎฐิกา นาลันทา และปาฎลิคามตามลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่โตมดิตถ์ เสด็จต่อไปยังโกฎิคาม นาทิคาม และเวสาลี ทรงพำนักในสวนของนางคณิกาอัมพปาลี เสด็จจำพรรษาที่เวฬุวัน ทรงเริ่มประชวร และ 3 เดือนต่อมาเสด็จสู่ปรินิพพานในเมืองกุสินาราแห่งแคว้นมัลละ
ที่มา http://www.dhammathai.org/buddhism/buddhismhistory.php
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)