วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

องค์การระหว่างประเทศ

 องค์การระหว่างประเทศ

     องค์การระหว่างประเทศ หมายถึง องค์การที่ประเทศหรือรัฐตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปรวมกัน จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและพัฒนากิจกรรมต่างๆเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐสมาชิกและมวลมนุษยชาติ

     ความสำคัญขององค์การระหว่างประเทศ
     การเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศ เป็นไปด้วยความสมัครใจของรัฐที่จะอยู่รวมกลุ่มกัน โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน องค์การระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญ ดังนี้

     1. เป็นหน่วยงานที่มีตัวแทนของรัฐมาประชุมพบปะกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ แสวงหาสันติภาพและความมั่นคงร่วมกัน
     2. ดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเวทีสำหรับรัฐต่าง ๆ มาร่วมตกลงประสานผลประโยชน์ระหว่างกัน
     3. รัฐได้รู้ถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างเครื่องมือที่เป็นสถาบัน และวิธีการที่เป็นระบบ การจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศจึงเป็นทางออกของรัฐ ในการจัดระเบียบความสัมพันธ์และ วางหลักเกณฑ์สำหรับใช้ในการปฏิบัติต่อไป


     ในที่นี้ ขอกล่าวถึงองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
     1. องค์การสหประชาชาติ (The United Nations : UN)
     องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น เป็นองค์การระหว่างประเทศระดับโลก ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง โดยมีประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้ง 51 ประเทศ ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ค.ศ. 1946 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา สำนักงานภาคพื้นยุโรปตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ปัจจุบันมีสมาชิก 192 ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศเอกราชต่างๆ จากทุกภูมิภาคของโลก

     วัตถุประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ
     กฎบัตรสหประชาชาติได้กำหนดวัตถุประสงค์ขององค์การสหประชาชาติไว้ ดังนี้

     1) เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติและความมั่นคงระหว่างประเทศ
     2) เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประชาชาติทั้งปวงโดยยึดหลักการเคารพต่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน
     3) เพื่อให้บรรลุถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมหรือมนุษยธรรม และการส่งเสริมสนับสนุนการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพ อันเป็นมูลฐานของมนุษย์ โดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่อง เชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา
     4) เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งการประสานงานของประชาชาติทั้งมวลให้กลมกลืนกัน อันจะนำไปสู่จุดหมายปลายทางร่วมกัน
กล่าวได้ว่าองค์การสหประชาชาติ ก่อตั้งขึ้นมาด้วยเจตนารมณ์ที่จะขจัดภัยพิบัติอันเกิดจากสงคราม ประกันสิทธิมนุษยชน ตลอดจนส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของมวลมนุษยชาติ

     องค์กรขององค์การสหประชาชาติ
     องค์กรต่าง ๆ และหน่วยงานชำนาญพิเศษของสหประชาชาติ ที่มีความสำคัญ ได้แก่

     1) สมัชชา (General Assembly)
      สมัชชา คือ ที่ประชุมของประเทศสมาชิกทั้งหมดของสหประชาชาติ ซึ่งทุกประเทศมีสิทธิออกเสียงได้ 1 เสียง สมัชชามีหน้าที่พิจารณาให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ภายในกรอบของกฎบัตรสหประชาชาติ นอกจากนั้นยังคอยกำหนดเป้าหมายและกิจกรรมเพื่อการพัฒนาต่างๆ เรียกร้องให้มีการประชุมระดับโลกในหัวข้อสำคัญๆ และกำหนดปีสากลเพื่อเน้นความสนใจในประเด็นที่สำคัญๆ ของโลกสมัชชามีการประชุมสมัยสามัญปีละครั้ง การลงคะแนนเสียงในเรื่องทั่วไปๆ ใช้เสียงข้างมาก แต่ถ้าเป็นปัญหาสำคัญจะต้องได้คะแนน 2 ใน 3 ของสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม
     2) คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council)
     คณะมนตรีความมั่นคง เป็นองค์กรที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยจะเข้าไปแก้ไขวิกฤตการณ์หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศของทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติหรือไม่ก็ตาม คณะมนตรีความมั่นคง ประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สมาชิกถาวร 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และสมาชิกไม่ถาวร 10 ประเทศ อยู่ในตำแหน่งครั้งละ 2 ปี ในกรณีประเทศสมาชิกถาวรประเทศใดประเทศหนึ่งออกเสียงคัดค้าน ถือว่าเป็นการใช้สิทธิยับยั้ง (Veto) อันจะมีผลทำให้เรื่องนั้น ๆ ตกไป ในยุคของสงครามเย็น การดำเนินงานของคณะมนตรีความมั่นคงประสบกับสภาวะชะงักงัน เนื่องจากการใช้สิทธิยับยั้งของประเทศมหาอำนาจ ปัจจุบันสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นสมาชิกถาวรหรือไม่ก็ตาม จะต้องงดเว้นการออกเสียง เมื่อมีการพิจารณาปัญหาข้อพิพาทที่ตนเป็นคู่กรณีด้วย
     3) สำนักเลขาธิการ (The Secretariat)
     เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ให้บริการองค์กรอื่นๆ ของสหประชาชาติ ประกอบกับ การดำเนินงานตามนโยบายและบริหารโครงการตามที่องค์กรต่างๆ ของสหประชาชาติ กำหนดไว้ โดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งมาจากประเทศที่เป็นสมาชิกร่วมกันปฏิบัติงาน และมีเลขาธิการสหประชาชาติเป็นหัวหน้าองค์กร เลขาธิการสหประชาชาติเป็น      ตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากสมัชชาใหญ่ มีวาระคราวละ 5 ปี โดยหลักของการ เลขาธิการจะมาจากประเทศที่เป็นกลางหรือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หน้าที่สำคัญของเลขาธิการ คือ การรายงานสถานการณ์ระหว่างประเทศ ที่กระทบต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ ให้คณะมนตรีความมั่นคงทราบ และทำหน้าที่ทางการทูตของสหประชาชาติ

     4) ทบวงการชำนัญพิเศษ (Specialized Agencies)
     เป็นองค์กรอิสระและปฏิบัติงานเฉพาะสาขา ผูกพันกับองค์การสหประชาชาติตามข้อตกลงพิเศษ ประกอบด้วยสมาชิกทั้งที่เป็นและไม่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ โดยมี คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมกับสมัชชา เป็นองค์กรประสานงาน ทบวงการชำนัญพิเศษมี 16 องค์กร ดังนี้
     1. องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO)
     2. องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO)
     3. องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nation Educational Scientific and Cultural Organization : UNESCO)
     4. องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO)
     5. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF)
     6. ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและการพัฒนา (International Bank for Reconstruction and Development : IBRD)
     7. สมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (International Development Association : IDA)
     8. บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (International Finance Corporation : IFC)
     9. องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO)
     10. สหภาพไปรษณีย์สากล (Universal Postal Union : UPU)
     11. สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU)
     12. องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization : WMO)
     13. องค์การกิจการทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO)
     14. องค์การทรัพย์สินทางพุทธิปัญญาแห่งโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO)
     15. กองทุนระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาเกษตรกรรม (International Fund for Agricultural Development : IFAD)
     16. องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO)
   
     องค์การระหว่างประเทศอิสระ (Autonomous International Organization)
     องค์การนี้มิใช่ทบวงการชำนาญพิเศษ แต่ถือว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับองค์การ ดังกล่าว ที่สำคัญมีดังนี้
     1. ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA - International Atomic Energy Agency)      มีหน้าที่แสวงหาลู่ทางในการส่งเสริมและขยายการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในทางสันติ เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพและเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแห่งโลก
     2. ความตกลงทั่วไปด้วยพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการค้า (GATT - General Agreement on Tariffs and Trade)      มีหน้าที่แสวงหาความร่วมมือในการป้องกันการกีดกันทางการค้า คุ้มกันและสร้างกรอบของการเจรจาเพื่อลดพิกัดอัตราภาษีและค่าผ่านแดนอื่นๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศโดยผ่านการเจรจาและออกเป็นข้อบัญญัติทางกฎหมาย
     นอกจากนี้ยังมี โครงการ/คณะมนตรี/และคณะกรรมการอื่นๆ (Programmes, Councils and Commissions) ซึ่งสมัชชาหรือคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจัดตั้งขึ้น เพื่ออำนวยความช่วยเหลือแก่เลขาธิการสหประชาชาติ ที่สำคัญมีดังนี้
     1. สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR - UN High Commissioner for Refugees)
     2. กองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF - UN Children’s Fund)
     3. ที่ประชุมสหประชาชาติเรื่องการค้าและการพัฒนา (UNCTAD - UN Conference on Trade and Development)
     4. โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP - UN Development Programme)
     5. โครงการอาหารโลก (WFC - World Food Programme)
     6. สภาอาหารโลก (WFC- World Food Council)
     7. โครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติ (UNEP - UN Environment Programme)
     8. กองทุนเพื่อกิจกรรมประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA - UN Fund for Population Activities)
     9. กองทุนเพื่อควบคุมการใช้ยาในทางที่ผิดแห่งสหประชาชาติ (UNFDAC - UN Fund for Drug Abuse Control)
     10. คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB - International Narcotics Control Board)
     11. สถาบันเพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยแห่งสหประชาชาติ (UNITAR - UN Institute for Training and and Research)
     12. สำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ใน ตะวันออกใกล้ (UNRWA - UN Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East)
     13. สำนักงานบรรเทาทุกข์และการฟื้นฟูแห่งสหประชาชาติ (UNRRA - The United Nations Relief and Rehabilitation Administration )

     ผลงานขององค์การสหประชาชาติ
     ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา สหประชาชาติได้ทำให้เกิดร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ครอบคลุมการดำเนินงานในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง ดังนี้
การรักษาสันติภาพ คณะมนตรีความมั่นคงได้ดำเนินมาตรการบีบบังคับทั้งที่ไม่ใช้กำลังอาวุธและใช้กำลังอาวุธโดยความร่วมมือจากประเทศสมาชิกแล้ว 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกในสงครามเกาหลี ปี ค.ศ. 1950 และสงครามอ่าวเปอร์เซียในกรณีที่อิรักส่งทหารเข้ายึดครองคูเวต ค.ศ. 1991 นอกจากนั้นสหประชาชาติยังรับหน้าที่เจรจาแก้ไขความขัดแย้ง เช่น การยุติสงครามอิรัก-อิหร่าน การถอนทหารโซเวียตออกจากอัฟกานิสถาน การยุติความขัดแย้งในกัมพูชา
การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติโดยคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนได้สืบสวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน และได้กระตุ้นให้ประชาคมโลกสนใจในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ จนก่อให้เกิดแรงกดดันระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศนั้น ๆ การปกป้องสิ่งแวดล้อมและชั้นโอโซน สหประชาชาติได้จัดประชุมนานาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ใน ค.ศ. 1992 ที่ประชุมได้รับรองอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรักษาระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลกไม่ให้โลกร้อนขึ้น และลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รับรองแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) สร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนา เพื่อบรรลุถึงการพัฒนาแบบยั่งยืนและได้จัดประชุมนาชาติชี้ให้เห็นอันตรายจากการสูญเสียชั้นโอโซน ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะที่ผ่านมา การให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา องค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) ได้ให้ความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ และมีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเกือบ 3 ล้านชิ้น กฎดังกล่าวยังมีผลให้การคุ้มครองผลงานของศิลปิน นักประพันธ์เพลงนักเขียนทั่วโลก การอนุรักษ์และบูรณะสถานที่สำคัญ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ดำเนินการอนุรักษ์และบูรณะสถานที่สำคัญ ที่เป็นโบราณสถานทางประวัตศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม ใน 81 ประเทศ เช่น กรีซ อียิปต์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และไทย นอกจากนี้ยังได้จัดประชุมนานาชาติเพื่ออนุรักษ์ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม

     สหภาพยุโรป (European Union: EU)
     สหภาพยุโรป หรือ อียู เกิดขึ้นจากความพยายามที่จะสร้างสันติภาพในทวีปยุโรป ไม่ให้ประเทศในยุโรปใช้ทรัพยากรในประเทศของตนทำสงครามระหว่างกัน ค.ศ. 1951 ประเทศในทวีปยุโรป 6 ประเทศ ได้แก่ เบลเยี่ยม เยอรมันตะวันตก ลักเซมเบอร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ จึงรวมตัวกันก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กยุโรป (The European Coal and Steel Community : ECSC) ขึ้น ให้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับเหล็กและถ่านหินของประเทศสมาชิก การจัดตั้ง ECSC ประสบความสำเร็จอย่างมาก ประเทศสมาชิกจึงมีความคิดที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น เพื่อสร้างให้เกิดตลาดเดียว (Common Market) โดยการลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ดังนั้น ค.ศ. 1957 ทั้ง 6 ประเทศจึงลงนามในสนธิสัญญากรุงโรม (The Treaties of Rome) ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (The European Economic Community : EEC) และประชาคมพลังงานปรมาณู (Euratom) ในเบื้องต้นประชาคมเศรษฐกิจยุโรปมุ่งเน้นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า แต่ต่อมาความร่วมมือนี้ได้ขยายตัวออกไป จนนำไปสู่การรวม 3 ประชาคมเข้าด้วยกัน และเรียกชื่อเป็นประชาคมยุโรป (European Communities : EC) ต่อมามีการออกกฎหมายยุโรปตลาดเดียว (Single European Act) เพื่อให้ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเข้าสู่ขั้นตอนการเป็นตลาดร่วมและตลาดเดียวที่สมบูรณ์ใน ค.ศ. 1992 ต่อมาประเทศสมาชิกได้ลงนามร่วมกันในสนธิสัญญามาสทริชท์ (The Treaty of Maastricht) ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายและขั้นตอนในการทำให้ประชาคมยุโรปพัฒนาไปสู่การเป็นสหภาพยุโรป ต่อมาเพิ่มความร่วมมือทางด้านการทหาร ความยุติธรรมและกิจการภายใน (Justice and Home Affairs) และในปีค.ศ. 1993 ประชาคมยุโรปจึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สหภาพยุโรป (European Union) โดยมีสมาชิกขณะนั้น 15 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก เดนมาร์ก สวีเดน ไอร์แลนด์ กรีซ ฟินแลนด์ ออสเตรีย และยังก่อตั้งสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน ยุโรป (Economic and Monetary Union : EMU) เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจการเงินและการคลังของประเทศสมาชิกเป็นระบบเดียวกัน และใช้เงินสกุลเดียวกัน คือ เงินยูโร (EURO)
     นับแต่เริ่มก่อตั้งสหภาพยุโรป มีการรับสมาชิกเพิ่มอีกหลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2004 โดยรับสมาชิกใหม่อีก 10 ประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบันสหภาพยุโรปมีสมาชิกทั้งหมด 25 ประเทศ นับเป็นการขยายสมาชิกภาพครั้งที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมา ประเทศสมาชิกใหม่จะต้องยกเลิกกฎหมาย ระเบียบ มาตรการที่ใช้อยู่เดิมและมาใช้กฎหมาย ระเบียบ มาตรการของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม ประเทศสมาชิกใหม่ 10 ประเทศนี้จะยังไม่ได้รับสิทธิ์ทุกประการเท่ากับประเทศสมาชิกเดิม เช่น ประชาชนของ 10 ประเทศสมาชิกใหม่ไม่สามารถอพยพย้ายถิ่นเข้าไปในประเทศสมาชิกเดิมได้ จนกว่าประเทศเหล่านั้นจะเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปมาแล้ว 7 ปีเป็นต้น ต่อมาในวันที่ 18 มิถุนายน 2004 ที่ประชุมผู้นำชาติสมาชิกสหภาพยุโรป 25 ประเทศ มีมติรับรองธรรมนูญฉบับแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากเตรียมการกันมานานราว 4 ปี ซึ่งการผ่านรัฐธรรมนูญดังกล่าวถือเป็นย่างก้าวที่สำคัญอย่างยิ่ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้งในยุโรป แม้จะยังต้องมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่ชาติสมาชิกต้องตกลงร่วมกัน สหภาพยุโรปมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงบรัสเซลศ์ ประเทศเบลเยี่ยม

     วัตถุประสงค์ของสหภาพยุโรป
     สหภาพยุโรปเป็นการรวมตัวกันของประเทศในทวีปยุโรป เพื่อสร้างเสถียรภาพ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในภูมิภาค แนวคิดการสร้างให้เกิดสันติภาพในยุโรปเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกและสงครามระหว่างประเทศในภูมิภาค ในช่วงแรกเป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาให้เกิดตลาดเดียว(Single Market) ซึ่งทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (economy of scale) เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยการยกเลิกพรมแดนระหว่างกัน ประชาชน สินค้า บริการ และเงินทุนสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีในกลุ่มประเทศสมาชิก
     ประเทศสมาชิกภาพยุโรปได้เริ่มนำเงินยูโรมาใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1999 โดยเป็นการใช้เงินทางระบบบัญชี ตราสาร และการโอนเงินเท่านั้น ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ของเงินยูโรได้เริ่มนำมาใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2002 ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่เป็นสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป (EMU) และร่วมใช้เงินยูโร 12 ประเทศ ได้แก่ เบลเยี่ยม เยอรมัน กรีซ สเปน ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย โปรตุเกส และฟินแลนด์ แต่ยังมี 4 ประเทศ คือ อังกฤษ เดนมาร์ก สวีเดน และกรีซ ที่ยังไม่ยอมรับเงิน สกุลนี้

ที่มา  http://www2.udru.ac.th/~global/global_lavel_2_03.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น